
มานูเอล บิยาร์ เริ่มต้นจากครอบครัวยากจน ช่วยแม่ขายของในตลาด ก่อนก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจและนักการเมือง
“Manuel Villar” มหาเศรษฐีชาวฟิลิปปินส์ อีกหนึ่งนักธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาลจนขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ของประเทศ และเป็นอีกบุคคลที่เล่าเรื่องราวแนว Rags-to-Riches หรือจากศูนย์สู่ล้าน จากไม่มีสู่มั่งคั่งได้เป็นอย่างดี เส้นทางการเติบโตของเขาเริ่มต้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่ท้ายที่สุดเขาสามารถไต่เต้า โลดแล่นในวงการทั้งในฐานะผู้ประกอบการ และนักการเมืองเบอร์ใหญ่ของฟิลิปปินส์
ปัจจุบัน Manuel Villar มีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่กว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมักจะชิงตำแหน่งบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศฟิลิปปินส์กับนักธุรกิจ อย่าง Enrique Razon Jr. เจ้าพ่อด้านโลจิสติกส์เสมอ โดยในช่วงปี 2025 ที่ผ่านมา ชื่อของ Manuel Villar ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 และมีประเด็นกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง
ความสำเร็จของ Villar คือการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ เริ่มต้นจากช่องว่างในตลาดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จนสามารถขยายธุรกิจไปสู่ด้านอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันจนเป็นระบบนิเวศที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในประเทศ ตั้งแต่ที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ตลอดจนปั้นธุรกิจสุสานและบริการหลังความตายที่ทำกำไรได้มหาศาล
ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความรู้จัก Manuel Villar ให้มากขึ้นผ่านช่วงชีวิตวัยต่าง ๆ ว่าเขาเติบโตมาอย่างไร จากดินกลายมาเป็นดาวได้ตอนไหน มีแนวคิดตลอดจนวิสัยทัศน์แบบใดถึงทำให้ธุรกิจและชีวิตประสบความสำเร็จจนกลายเป็นมหาเศรษฐีแห่งฟิลิปปินส์
Manuel Villar หรือที่หลายคนเรียกกันว่า Manny Villar เกิดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ปี 1949 ในย่านทอนโด (Tondo) กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นพื้นที่ที่รู้จักกันว่าเป็นย่านคนทำงานและค่อนข้างยากจน โดย Manny เป็นลูกคนที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 9 คน ด้วยความยากลำบากทำให้ในวัยเด็กเขาต้องไปช่วยคุณแม่ขายอาหารทะเลในตลาดเสมอ ในขณะที่คุณพ่อนั้นทำงานเป็นข้าราชการระดับล่าง
ชีวิตในตลาดดิวิซอเรียของ Manny Villar เริ่มต้นตั้งแต่ราว 6 ขวบ ต้องช่วยแม่ขายกุ้งปลาเพื่อหารายได้จ่ายค่าเรียนในโรงเรียน ไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้พื้นฐานการทำธุรกิจค้าขาย ช่วยบริหารเงินในร้าน และสร้างวินัยการทำงานที่ต่อมาเขาเรียกมันว่า “Sipag at Tiyaga” แนวคิดขยันและอดทนที่ยังคงยึดมั่นมาถึงทุกวันนี้
ทำงานไปเรียนไปจนกระทั่งได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อย่าง University of the Philippines (UP) โดยเลือกเรียนในหลักสูตรบริหารธุรกิจ พร้อมกับต่อปริญญาโท MBA กระทั่งจบมาพร้อมกับมีวุฒิบัตรผู้สอบบัญชีรับอนุญาต หรือ CPA ติดตัวมาด้วย
ก้าวแรกในโลกการทำงานในองค์กรของ Manny คือการทำงานเป็นนักบัญชีของบริษัทตรวจสอบบัญชีชั้นนำ Sycip, Gorres, Velayo & Co. ก่อนจะตัดสินใจลาออกเพื่อไปเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ทำกิจการต่อยอดความรู้ที่มีเดิมมาจากครอบครัว นั่นคือส่งอาหารทะเลให้กับร้านอาหารในเมืองมากาตี
ทำธุรกิจมาสักพัก Manny เริ่มพบกับวิกฤติ เมื่อลูกค้ารายใหญ่เบี้ยวไม่จ่ายเงิน จนทำให้เงินทุนที่มีแทบหมด แต่แทนที่เขาจะยอมขาดทุน กลับออกแบบวิธีการหาเงินแบบใหม่มาเสริม คือขอให้ร้านอาหารที่ติดเงิน ออกคูปองเงินสดมาให้ แล้วเขานำมาขายต่อให้กับพนักงานออฟฟิศบริเวณนั้น จนทำให้ได้เงินคืนมาทีละน้อยจนครบ
ต่อมาเขาได้ย้ายไปทำงานในสายการเงินอีกครั้ง เป็นนักวิเคราะห์การเงินที่ PDCP หน่วยงานปล่อยกู้โครงการพัฒนาจากเงินทุน World Bank และที่นี่เองทำให้เขาได้เข้าใจระบบเงินทุนขนาดใหญ่ วิธีใช้ Leverage และวิธีทำโครงการระดับประเทศ ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายเป็นแก่นธุรกิจของเขาในเวลาต่อมา
ในปี 1975 เขาได้เริ่มต้นธุรกิจหนึ่งอย่างที่กลายมาเป็นรากฐานความแข็งแกร่งของกลุ่ม Villar Group ในปัจจุบัน นั่นคือ กู้เงินจำนวน 10,000 เปโซจากธนาคาร ไปซื้อรถบรรทุกมือสองจำนวน 2 คัน เพื่อนำมาขนส่งทรายและหินให้บริษัทก่อสร้างใน Las Piñas และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้เข้าสู่วงการก่อสร้าง เรียนรู้ระบบโลจิสติกส์ สร้างเครือข่ายกับอุตสาหกรรมอสังหาฯ และเริ่มคิด-วางแผนแบบนักกลยุทธ์
ในระหว่างที่รับขนส่งวัสดุก่อสร้างนั้น Manny Villar ก็เริ่มเห็นช่องว่างในตลาด เขาสังเกตว่าผู้พัฒนาที่ดินขายแต่ที่ดินให้ลูกค้า ส่วนลูกค้าก็ต้องไปหาผู้รับเหมามาสร้างบ้านเอง ซึ่งทั้งยุ่งยากและแพง เขาจึงเสนอโมเดลใหม่เป็น “บ้านพร้อมที่ดิน” เลยเริ่มกู้เงินระยะยาวดอกเบี้ยต่ำมาสร้างบ้านเพื่อขายเอง
กลยุทธ์ที่เขาใช้คือ การสร้างบ้านแบบ Mass Production กล่าวคือซื้อวัสดุเป็นล็อตใหญ่ ใช้แบบบ้านมาตรฐาน และก่อสร้างครั้งละหลายร้อยหลัง ทำให้ราคาบ้านถูกลงและเข้าถึงคนชั้นกลางจำนวนมาก จนทำให้กลุ่มบริษัทของเขาในแบรนด์ Camella Homes สามารถสร้างบ้านไปได้แล้วกว่า 200,000-500,000 ยูนิต จนสื่อฟิลิปปินส์ยกให้เป็น “ผู้นำแห่งวงการอสังหาฯ”
จุดพลิกเกมสำคัญ คือการโฟกัสไปที่ตลาดแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ ที่มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศและต้องการสร้างบ้านให้ครอบครัว เขาใช้กระแสการโอนเงินกลับประเทศของตลาดนี้ เป็นพลังช่วยหนุนให้ธุรกิจเติบโต ทำให้บริษัทไม่พึ่งเศรษฐกิจในประเทศมากเกินไป โครงการในแต่ละเมืองขายได้เพราะคนส่งเงินซื้อให้ครอบครัว และยังสามารถขยายโครงการได้ทั่วฟิลิปปินส์ ไม่ใช่แค่ในมะนิลา
ย้อนกลับไปในปี 1992 ทาง Manuel Villar ได้เดินเข้าเส้นทางสายการเมืองอย่างเต็มตัว โดยเขาชนะเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขต Las Piñas-Muntinlupa และขึ้นเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรในปี 1998 โดยมีบทบาทสำคัญในกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราดาที่ถูกตั้งข้อหาคอร์รัปชันและฉ้อโกงออกจากตำแหน่งในปี 2000
จนต่อมาเขาได้เข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาถึง 2 สมัย โดยในปี 2006-2008 ได้ขึ้นเป็นประธานวุฒิสภา และยังนับว่าเป็นประธานฯ คนแรกหลังสงครามโลกที่เคยเป็นผู้นำของทั้งสองสภา และยังเป็นหัวหน้าพรรค Nacionalista พรรคเก่าแก่ที่สุดของฟิลิปปินส์อีกด้วย
กระทั่งปี 2010 ที่ Manny Villar ได้เดินหน้าจริงจังลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ พร้อมกับชูสโลแกนหาเสียง “Sipag at Tiyaga” เพื่อหวังขายภาพที่ตัวเองเติบโตมาจากศูนย์ โดยได้ทุ่มงบในแคมเปญหาเสียงไปมหาศาล แต่ท้ายที่สุดกลับต้องแพ้ให้กับคู่แข่งอย่าง Benigno Aquino III
จนในที่สุด หลังแพ้เลือกตั้งเขาก็ได้ประกาศออกจากวงการเมือง พร้อมแถลงถึงความเสียใจและเสียดายว่า “21 ปีในการเมืองคือเวลาที่เสียไปในฐานะนักธุรกิจ” และตั้งใจจะกลับมาปั้นอาณาจักรให้แซงคู่แข่งตระกูลใหญ่ ๆ อย่าง Ayala และ SM ของตระกูล Sy ให้ได้
ทั้งนี้ ตระกูล Villar ถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลทางการเมือง นอกจากเขาเองแล้ว ภรรยาของ Manny Villar เป็นวุฒิสมาชิก ลูกชายเป็นวุฒิสมาชิกและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการฯ ส่วนลูกสาว ก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ ส่วนนี้ทำให้ในปัจจุบันเกิดข้อกังขาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจหลายอย่าง เนื่องจากบางกิจการอย่างเช่นให้บริการน้ำประปา และอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจของตระกูลนี้เหมือนจะกินรวบอยู่นั่นเอง
ขอพาย้อนกลับมาหลังจากที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประสบความสำเร็จดีเยี่ยม สามารถครองตลาดบ้านราคาย่อมเยาว์ได้ Manny Villar ก็ขยายอาณาจักรต่อไปสู่บ้านระดับกลางอย่าง Crown Asia บ้านหรูรดับไฮเอนด์ Brittany และคอนโดมิเนียมในเมือง Vista Residences
จนในปี 2007 เขารวมทุกแบรนด์ไว้ภายใต้บริษัทแม่ “Vista Land & Lifescapes” (VLL) และนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้สามารถปลดล็อกเงินทุนก้อนใหญ่ มาขยายธุรกิจต่อ โดยเขาผลักดันบริษัทสู่โครงการเมืองครบวงจรและคอนโดพรีเมียม มากกว่าโครงการบ้านสังคมราคาถูก ซึ่งกำไรน้อยกว่า
กลยุทธ์ของ Manny คือการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ ทำหมู่บ้านขนาดใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้เขาไม่ได้สร้างบ้านอย่างเดียว แต่สร้างชุมชนและเมืองใหม่ไปพร้อม ๆ กัน ที่ต่อมากลายเป็นฐานให้เขาขยายธุรกิจสู่ค้าปลีก (ทั้งห้าง ร้านเฟอร์นิเจอร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต) ธุรกิจสาธารณูปโภค คอมมูนิตี้มอลล์และศูนย์การค้า จนครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า และยังคงยึดมั่นอยู่ต่อกับ Villar Group
โมเดล Diversification ของกลุ่ม Villar Group คือเคสระดับมาสเตอร์คลาสของการบูรณาการธุรกิจแนวตั้งและแนวนอน เป้าหมายคือครองสัดส่วนการใช้จ่ายของผู้บริโภคฟิลิปปินส์ให้มากที่สุด ทุกธุรกิจใหม่ถูกวางเชื่อมต่อกับธุรกิจบ้านเดิมที่มีอยู่ เกิดเป็นระบบเศรษฐกิจวงปิด ที่ผู้พักอาศัยในโครงการ Villar ถูกจูงใจ หรือบางครั้งแทบเหมือนถูกบังคับกลาย ๆ ให้ใช้บริการในเครือ Villar ตั้งแต่ซื้อบ้าน ซื้อของ กินข้าว จ่ายค่าน้ำ จนถึงค่าเน็ต
นอกจากนี้ เขายังมีธุรกิจเฉพาะทางที่ทำมาตั้งแต่ปี 1984 อย่าง Golden Haven Memorial Park เจาะตลาดธุรกิจ “ดูแลชีวิตหลังความตาย” แบบพรีเมียม ทั้งสุสาน ครีมาโทเรียม และห้องพิธีศพ กลายเป็นแหล่งกำไรระดับ Cash Cow ก่อนถูกนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ และภายหลังกลายเป็นโครงสร้างบริษัทสำหรับต่อยอดไปสู่ Villar City โปรเจกต์ไฮไลต์สร้างเมืองที่สำคัญของกลุ่มบริษัท ที่จะเป็นศูนย์กลางใหม่ของมหานครมะนิลา
ทั้งยังขยายไปสู่ธุรกิจกลุ่มยูทิลิตี้และเทคโนโลยี สร้างบริการขั้นพื้นฐานที่ผู้คนขาดไม่ได้ อย่างเช่น Prime Water ผู้ให้บริการน้ำประปาในหลายเทศบาล พร้อมดีลระยะยาว เป็นซัพพลายหลักให้โครงการบ้าน และยังมี Streamtech เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์
พร้อมกันนั้น Villar Group ยังขยับขยายบริการด้านสื่อและโทรทัศน์ และยังมีประกาศสร้างโครงการรีสอร์ตและคาสิโนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และธีมพาร์กบนแลนด์แบงก์ยักษ์ในเขตตอนใต้ของ Metro Manila เตรียมปั้นเมืองความบันเทิงแบบครบวงจร
ปัจจุบันธุรกิจภายใต้ Villar Group ดูแลโดยตระกูล Villar บริษัทเล็กใหญ่ที่จดทะเบียนนั้นจะได้รับการดูแลส่วนใหญ่จากคนในตระกูล โดย Manuel Villar จะเป็นประธานของธุรกิจหลักที่จดทะเบียน ในขณะที่ภรรยาและลูก ๆ ก็ช่วยดูแลธุรกิจย่อยอื่น ๆ พร้อมกับทำงานในฐานะนักการเมืองไปด้วย
ที่มา: Forbes, MBV, VNExpress, Tatler, Senate Gov.
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney