เมื่อ Gymfluencer และวัฒนธรรม Self-Improvement กำลังนำพาหลายคนตกหลุมพรางการดูแลตัวเองที่ไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพ แต่ยังมีปัจจัยให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทั้งค่าสมัครฟิตเนส คอร์สเทรนเนอร์ส่วนตัว คลาสโยคะ ตลอดจนซื้อเสื้อผ้ากีฬาแบรนด์ดัง จนทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา จนกลายเป็นที่มาของการใช้ AI มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว วางแผนโปรแกรมเล่นฟิตเนส ติดตามพฤติกรรมการใช้ชีวิต ตลอดจนออกแบบเมนูอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ และยังมาพร้อมกับงบประมาณที่ถูกกว่า
ในยุคที่การดูแลสุขภาพได้กลายเป็นเทรนด์หลักของโลก และแน่นอนว่าการดูแลสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี จนหลายคนยอมทุ่มทั้งเวลาและเงินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่กลับมีเรื่องที่น่ากังวลตามมาคือ หลายคนจะยอมควักกระเป๋าเป็นพันเป็นหมื่นต่อเดือน ทั้งค่าสมัครฟิตเนส คอร์สเทรนเนอร์ส่วนตัว คลาสโยคะ พิลาทิส ตลอดจนซื้อเสื้อผ้ากีฬาแบรนด์ดัง จนทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ซึ่งทั้งหมดนี้ กลับไม่ใช่แค่เรื่องของ “สุขภาพ” แต่เป็นผลจากกระแส Gymfluencer และวัฒนธรรม Self-Improvement หรือการพัฒนาตัวเองที่พาให้หลายคนตกหลุมพรางว่า “สุขภาพดี = ต้องจ่ายแพง”
แต่ความจริงคือ… สุขภาพดีไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยเงินจำนวนมาก หากวางแผนให้ดี และจุดไฟให้ตัวเองได้ จากบทความหนึ่งที่เผยแพร่บน Business Insider ผู้เขียนนามว่า Ella Plevin ได้ออกมานำเสนอวิธีการของเธอที่ใช้ AI มาช่วยวางแผนฟิตเนส แทนการจ้างเทรนเนอร์ ซึ่งพบว่าได้ผลดีเกินคาด และตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงเกินไป
โดยเธอเล่าว่า สิ่งที่เปลี่ยนเกมคือการเปลี่ยนมุมมอง เมื่อเธอเริ่มใช้ AI อย่าง ChatGPT และ Perplexity มาเป็นผู้ช่วยวางแผนออกกำลังกายส่วนตัว โดยในทุกสัปดาห์เธอจะป้อนเป้าหมายและผลลัพธ์ให้ ChatGPT และขอโปรแกรมออกกำลังกายใหม่ตามความคืบหน้า พร้อมทั้งใช้ถามเรื่องวินัยในตัวเอง เพื่อเข้าใจตัวเองให้ลึกขึ้นแบบไม่ต้องเสียเวลาหาหนังสือหลายวัน
นอกจากนั้น ChatGPT ยังแนะนำแอปฯ AI ฟรีที่ช่วยเรื่องโภชนาการและการออกกำลังกาย อย่างเช่น แอปฯ นับแคลอรี่และติดตามสารอาหารที่กินในแต่ละวัน แอปฯ ติดตามจำนวนเซต-จำนวนครั้งในการเล่นเวทแบบเรียลไทม์ และคู่มือเล่นเวทแบบละเอียดพร้อมภาพเคลื่อนไหว เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI กำลังพลิกโฉมหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก และวงการฟิตเนสเองก็เป็นอีกหนึ่งสนามที่เทคโนโลยีนี้เข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลและตอบสนองตามความต้องการเฉพาะบุคคล AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนดูแลสุขภาพ ทั้งในด้านการออกกำลังกายและโภชนาการ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
หนึ่งในความสามารถเด่นของ AI คือการสร้างแผนออกกำลังกายที่ปรับตามตัวบุคคล (Personalization) โดยใช้ข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งระดับความแข็งแรง เป้าหมาย และพฤติกรรมผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งรูปแบบแผนการออกกำลังกายได้หลากหลาย
โดยที่ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัว เช่น อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ความชอบทางอาหาร โรคประจำตัว หรืออัตราการเผาผลาญ เพื่อจัดเมนูที่ตอบโจทย์แบบเฉพาะเจาะจงกว่าการไดเอทแบบทั่วไป พร้อมกันนี้ยังสามารถปรับสัดส่วนสารอาหารหรือเสนออาหารใหม่ได้ทันทีโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาไปทำการรีเสิร์ชข้อมูลที่ซับซ้อนเอง
และจากเคสของ Ella Plevin เธออธิบายเพิ่มว่า ไม่กี่สัปดาห์ผ่านไป เธอเห็นผลชัด ทั้งกล้ามเนื้อที่ชัดขึ้น ความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น และน้ำหนักที่ยกได้มากขึ้นกว่าเดิมเท่าตัว และที่สำคัญคือ ไม่ต้องพึ่งเทรนเนอร์แพง ๆ อีกต่อไป และตัดสินใจยกเลิกสมาชิกฟิตเนส หันมาใช้ฟิตเนสกลางแจ้งฟรีแทน
“สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไม่ใช่ AI หรือเทรนเนอร์คนนั้นคนเดียว แต่มันคือการได้ควบคุมเวลา เงิน และแรงจูงใจของตัวเองอีกครั้ง” Ella Plevin กล่าว และแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะสร้างเส้นทางฟิตเนสด้วยตัวเองตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นว่ารูปแบบนี้กลับอยู่กับเธอได้นานที่สุด
อย่างไรก็ตาม การใช้ AI ให้ได้ผลจริงยังต้องอาศัยหลายองค์ประกอบ ทั้งเรื่องของข้อมูล (ที่อาจมีไม่ครบหรือผิดพลาดได้) ความโปร่งใสของอัลกอริธึม ตลอดจนความใหม่ของข้อมูล
ด้านเทรนเนอร์ที่เป็นมนุษย์เองก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ ควรเป็นคนดูแลควบคู่กับ AI โดยเฉพาะการจัดการท่าทาง การออกอย่างถูกวิธี ช่วยป้องกันการออกกำลังอย่างผิดวิธีจนบาดเจ็บ พร้อมกันนี้ในฝั่งของผู้ใช้ก็จำเป็นจะต้องมีระเบียบวินัยและจริงจังให้พอในการลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยเช่นกัน
ที่มา: Business Insider, AIF
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney