เส้นทาง “เจนเซ่น หวง”แห่ง Nvidia จากเด็กล้างจาน สู่ผู้สร้างจักรวาล AI ที่ต้องรอดให้ได้ก่อนจะสำเร็จ

Personal Finance

Wealth Management

Tag

เส้นทาง “เจนเซ่น หวง”แห่ง Nvidia จากเด็กล้างจาน สู่ผู้สร้างจักรวาล AI ที่ต้องรอดให้ได้ก่อนจะสำเร็จ

Date Time: 4 พ.ค. 2568 13:30 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

เจสัน หวง เกิดที่ไต้หวัน อพยพไปสหรัฐฯ ตอนอายุ 10 ขวบ และทำงานหาเงินเรียน

  • หวงจบวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Oregon State University และทำงานที่ AMD และ LSI Logic
  • หวงร่วมก่อตั้ง Nvidia ในปี 1993 โดยมีวิสัยทัศน์ด้านกราฟิกและเกม
  • Nvidia เกือบเจ๊งหลายครั้ง แต่พลิกฟื้นด้วยชิป RIVA 128 และ CUDA
  • Nvidia กลายเป็นผู้นำด้าน AI โดยให้บริการแพลตฟอร์มการประมวลผลและมีส่วนแบ่งตลาดสูง

Latest


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าเราพูดถึงเรื่อง AI เมื่อไหร่ นอกจากจะมีเรื่องเครื่องมือ GenAI ต่าง ๆ แล้ว อีกหนึ่งส่วนสำคัญของเรื่องนี้ก็คงต้องมีชื่อของ Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก และก็ต้องมีหน้าของ Jensen Huang (เจนเซ่น หวง) ซีอีโอลอยขึ้นมาอย่างแน่นอน ตามแนวคิดที่ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทและเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างแน่นอน

และหากย้อนกลับไปในปี 2024 ทั้ง Nvidia และ Jensen Huang ก็เติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง โดย Nvidia มีรายได้โตขึ้นมากถึง 126% อยู่ที่ 60,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากข้อมูลของ Nasdaq ยังพบอีกว่าหุ้นของ Nvidia ในปี 2024 ปีเดียวโตขึ้นมากถึง 171.2% จนส่งผลให้ Jensen Huang ในฐานะซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งได้รับอานิสงส์ไปด้วยในปีที่ผ่านมา จนติดลิสต์ 1 ใน 10 มหาเศรษฐีระดับโลกตามการจัดลำดับของ Forbes ด้วยสินทรัพย์กว่า 106,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ Jensen Huang ไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวร่ำรวยหรือมีโอกาสเทียบเท่าซีอีโอบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่คนอื่น ๆ โดยที่เขาต้องหาเงินเรียนด้วยตัวเอง จนได้มีโอกาสเข้าถึงโลกเทคโนโลยี และมองเห็นความเป็นไปได้แบบที่คนอื่นไม่เห็น

ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปย้อนรอยเส้นทางการเติบโตของ Jensen Huang ที่ทำให้เขาได้มายืนเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกนวัตกรรม และสร้างแรงกระเพื่อมสำคัญในโลก AI ได้ในทุกวันนี้


วัยเด็ก: ผู้อพยพในสหรัฐอเมริกา

ก่อนจะเติบโตมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลของวงการเทคโนโลยี Jensen Huang มีประวัติที่น่าสนใจ โดยที่ในวัยเด็กเขามีชื่อเต็ม ๆ ว่า "Jen-Hsun Huang" เกิดเมื่อปี 1963 ที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ในครอบครัวของชนชั้นกลาง คุณพ่อเป็นวิศวกรเคมี ส่วนคุณแม่เป็นคุณครู ทำให้ Huang และด้วยการที่คุณพ่อต้องย้ายที่ทำงานบ่อยครั้ง ครอบครัวจึงสอนพื้นฐานภาษาอังกฤษให้อย่างดี และเตรียมแผนที่จะส่งเขาไปอยู่สหรัฐอเมริกา ที่ครอบครัวมองว่าเขาจะมีโอกาสที่ดีกว่า

การมาเติบโตในสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้อพยพของ Jensen Huang เริ่มต้นตอนที่เขาอายุได้เพียง 10 ขวบ พ่อแม่ได้ส่งเขากับพี่ชายไปอาศัยอยู่กับญาติที่เมืองทาโคมา รัฐวอชิงตัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกา ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกของ Huang สู่สังคมตะวันตกเป็นครั้งแรก

ในช่วงแรก Jensen Huang ถูกส่งเข้าเรียนใน Oneida Baptist Institute เป็นโรงเรียนประจำในรัฐเคนทักกี ที่เขามักจะถูกกลั่นแกล้ง ก่อนที่พ่อและแม่จะย้ายมาอาศัยอย่างถาวรในรัฐออริกอน และพบว่าสถานการณ์ของลูกไม่ดี จึงส่งเขาไปเรียนใน Aloha High School และด้วยความพิเศษของ Huang เขาก็สามารถเรียนจนระดับมัธยมได้ในวัยเพียง 16 ปี ด้วยการส่งตัวเองเรียนผ่านการทำงานในร้านอาหารอเมริกัน Denny’s อยู่กว่า 5 ปี โดยทำหน้าที่ทั้งล้างจาน เสิร์ฟอาหาร ไปจนถึงล้างห้องน้ำ


เรียนจบ: ทำงานแรกกับ AMD ใน Silicon Valley

หลังจากนั้น Jensen Huang ก็เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่ Oregon State University ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า โดยเลือกเรียนที่นี่ตามฐานะและความพร้อมทางการเงิน จนเรียนจบตอนที่อายุได้เพียง 20 ปี พร้อมกับย้ายไป Silicon Valley ใจกลางของโลกเทคโนโลยีในปี 1984

งานแรกของ Jensen Huang คือนักออกแบบไมโครชิปให้กับบริษัท Advanced Micro Devices หรือ AMD ซึ่งในช่วงนั้นถือเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เขาทำงานกับ AMD จนกระทั่งปี 1985 ซึ่งถือเป็นการได้สัมผัสกับงานออกแบบโปรเซสเซอร์ให้กับบริษัทระดับแถวหน้าในยุคนั้นอย่างเต็มตัว

หลังจากนั้น Huang ย้ายไปอยู่กับ LSI Logic บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่เน้นการพัฒนาชิปแบบสั่งผลิตเฉพาะ (ASICs หรือ Application-Specific Integrated Circuits) โดยใช้เวลาอยู่ที่นั่นราว 8 ปี ก่อนจะไต่เต้าขึ้นเป็นผู้อำนวยการของแผนก CoreWare ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนาโซลูชันการรวมชิปในระดับใหญ่ ทั้งในด้านเทคนิคและการจัดการโปรเจกต์ที่ซับซ้อน

และแม้ว่าจะทำงานอย่างเต็มที่ Huang ก็ยังไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เขาตัดสินใจเข้าเรียนต่อจนสำเร็จปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Stanford University ในปี 1992 และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตัดสินใจก่อตั้ง Nvidia ขึ้นมา


ก่อตั้งบริษัท: ต้นกำเนิด Nvidia

แรงบันดาลใจในการก่อตั้ง Nvidia เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยทุกอย่างเกิดขึ้นที่ร้านอาหาร Denny’s ในย่านอีสต์ซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1992 ขณะนั้น Jensen Huang อายุเพียง 29 ปี และยังทำงานอยู่ที่บริษัท LSI Logic

เขาได้นัดพบกับเพื่อนวิศวกรอีกสองคนที่รู้จักกันดี คือ Chris Malachowsky และ Curtis Priem ซึ่งทั้งคู่ทำงานที่ Sun Microsystems เพื่อพูดคุยกันถึงอนาคตของวงการคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Huang เลือกใช้ Denny’s เป็นสถานที่วางแผน เพราะมีความผูกพันส่วนตัวจากสมัยที่เคยทำงานเสิร์ฟและล้างจานที่นั่น แถมกาแฟก็ราคาถูก บรรยากาศก็เงียบพอที่จะถกไอเดียกันได้อย่างจริงจัง

ทั้ง 3 คนมีวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า “คลื่นลูกใหม่ของวงการคอมพิวเตอร์ จะมาจากพลังประมวลผลแบบใหม่ที่เน้นด้านกราฟิก” โดยเฉพาะในตลาดเกมคอมพิวเตอร์ที่กำลังเติบโตในช่วงนั้น และพวกเขาก็เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาชิปที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเรนเดอร์ภาพ 3 มิติที่สมจริง และตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อทุ่มเทให้กับไอเดียนี้กันทันที

ซึ่งในช่วงแรกทั้ง 3 คนตั้งชื่อบริษัทว่า “NVision” แต่ต่อมา Jensen Huang ได้ทำการเสนอชื่อ “Nvidia” ที่มาจากภาษาละตินว่า invidia ซึ่งแปลว่า “ความอิจฉา” โดยตั้งใจจะสื่อว่าคู่แข่งจะต้องอิจฉาเมื่อเห็นผลงานของพวกเขา

และในวันสำคัญ วันที่ 5 เมษายน 1993 บริษัท Nvidia ถูกจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ โดยมีชื่อของ Jensen Huang เป็นผู้ลงนามในเอกสารก่อตั้ง และนั่งเก้าอี้ประธานและซีอีโอตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม การหาเงินทุนคือก้าวสำคัญของธุรกิจ ที่ในตอนเริ่มธุรกิจทั้ง 3 ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไร ทาง Huang จึงใช้ความสัมพันธ์เก่ากับ LSI Logic ให้เป็นประโยชน์ โดย Wilfred Corrigan ซีอีโอของบริษัทได้แนะนำเขาให้รู้จักกับ Don Valentine นักลงทุนแห่ง Sequoia Capital

เมื่อ Don Valentine เห็นแววจากวิสัยทัศน์ของ Huang และความเชื่อมั่นที่สะท้อนออกมา จึงตัดสินใจร่วมลงทุนผ่าน Sequoia Capital และ Sutter Hill Ventures ด้วยเม็ดเงินที่มีการรายงานว่าอยู่ระหว่าง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นทุนตั้งต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง

และเงินก้อนนี้ทำให้ Nvidia ได้ริเริ่มพัฒนาชิปชุดแรก และสามารถจ้างพนักงานกลุ่มแรกได้ ซึ่งนี่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่เต็มไปด้วยความผันผวน และจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปตลอดกาล


วิกฤตแรก: พลิกเกม Nvidia ที่เกือบล้มละลายหลายครั้ง

ช่วงแรกของ Nvidia เต็มไปด้วยความท้าทายจนแทบเอาตัวไม่รอด เป็นบทพิสูจน์ความอดทนและไหวพริบของ Jensen Huang และทีมผู้ก่อตั้งอย่างแท้จริง เขาเคยกล่าวว่า การสร้าง Nvidia นั้น “ยากกว่าที่คิดไว้เป็นล้านเท่า” และเต็มไปด้วย “ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน” เพราะบริษัทต้องเผชิญภาวะเกือบล้มละลายอยู่หลายครั้ง

ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นคือชิปรุ่นแรกของบริษัทที่ชื่อว่า NV1 ที่แม้ว่าจะได้รับดีลสำคัญจาก Sega ในการนำไปใช้กับเครื่องเกมคอนโซล และได้เงินลงทุนเบื้องต้นราว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยต่อลมหายใจ แต่โครงสร้างของ NV1 กลับไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมในตอนนั้น

และความไม่ลงรอยกับเทคโนโลยีหลักของตลาดนี้ ทำให้ชิปรุ่นนี้ไม่ได้รับความนิยมจากนักพัฒนา ส่งผลให้ Nvidia ถูกตลาดเมิน และกระแสเงินสดก็เริ่มร่อยหรออย่างรวดเร็ว

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใกล้ล้มละลาย ทีมผู้บริหารตัดสินใจหักดิบ เลิกใช้สถาปัตยกรรมของตัวเอง และหันมารับมาตรฐานของอุตสาหกรรมเต็มตัว โดยทุ่มทรัพยากรทั้งหมดที่เหลืออยู่กับชิปรุ่นใหม่ นั่นคือ RIVA 128 หรือ Real-time Interactive Video and Animation Accelerator ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม ปี 1997

ความท้าทายคือ ต้องออกแบบ ทดสอบ (ด้วยซอฟต์แวร์จำลองแบบ ไม่มีต้นแบบจริง) และผลิตกับ TSMC ให้เสร็จในเวลาจำกัด ขณะที่เงินเดือนของพนักงานเหลือจ่ายได้อีกเพียง 1 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของบริษัทเลยทีเดียว

แต่การเดิมพันครั้งนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เพราะ RIVA 128 ได้กลายเป็นชิปตัวแรกที่รวมฟังก์ชันการเร่งผลลัพธ์ทั้ง 2D, 3D และวิดีโอไว้ในตัวเดียว และยังมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งถึง 4 เท่า จนได้รับเลือกให้เป็น “Product of the Year” โดยนิตยสาร PC Computing ในปี 1997 นอกจากนี้ ยอดขายยังพุ่งทะลุล้านหน่วย ทำให้ Nvidia สามารถทำกำไรในไตรมาสแรกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นผู้เล่นตัวจริงในวงการชิปกราฟิกอย่างเต็มตัว

ช่วงเวลาระทึกขวัญนี้กลายเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมองค์กร Nvidia ตั้งแต่นั้นมา โดย Jensen Huang มักเตือนทีมเสมอด้วยคำพูดที่กลายเป็นคติประจำบริษัทว่า “บริษัทเราเคยห่างจากการเจ๊งแค่ 30 วัน” มาแล้วนะ จนแนวคิดนี้ถูกปลูกฝังให้ทีมงานตื่นตัวอยู่เสมอ พร้อมกับสร้างวัฒนธรรมของการลงมือทำอย่างไม่มีข้ออ้าง กล้าเสี่ยงอย่างมีชั้นเชิง และพร้อมตัดสินใจในเวลาคับขัน


เกมใหม่: ภารกิจสร้างจักรวาล AI

หลังความสำเร็จของชิปรุ่น RIVA 128 ทาง Nvidia ได้เริ่มยึดหัวหาดในตลาดกราฟิกสำหรับคอมพิวเตอร์ PC โดยเฉพาะกับกลุ่มเกมเมอร์ที่พร้อมจ่ายเงินในราคาสูงเพื่อแลกกับประสิทธิภาพของ GPU ซีรีส์ GeForce ซึ่งโดดเด่นในเรื่องความเร็วและความแรง

และต่อมาในปี 1999 อีกปีสำคัญของ Nvidia คือการที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ และยังสร้างเรื่องเล่าว่า Jensen Huang ถึงกับสักโลโก้ Nvidia ลงบนแขน หลังราคาหุ้นพุ่งแตะ 100 ดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จอีกด้วย

จนในช่วงปี 2010 ที่ Nvidia สามารถครองส่วนแบ่งตลาดการ์ดจอแยก (Discrete GPU) มากกว่า 70% กลายเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งของวงการแบบไร้คู่แข่ง

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญจริง ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2006 เมื่อ Nvidia ได้ทำการเปิดตัว CUDA (Compute Unified Device Architecture) แพลตฟอร์มการประมวลผลแบบขนาน (Parallel Computing) ที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำพลังการประมวลผลของ GPU มาใช้ในงานมากกว่างานทั่วไป โดยใช้ได้ทั้งในด้าน AI, Data Science และงานจำลองทางวิทยาศาสตร์

การลงทุนใน CUDA ถือเป็นการ “สร้างแพลตฟอร์มก่อนตลาดจะเกิด” เพราะในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่า AI จะมาแรงขนาดนี้ ซึ่ง Huang มักบอกว่า Nvidia กล้าลงทุนใน “ตลาดมูลค่า 0 ดอลลาร์” โดยเชื่อว่ามันจะเติบโตในอนาคต

การสร้าง CUDA ต้องอาศัยเงินลงทุนและความอดทนมหาศาล แต่ก็ได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าเมื่อยุค Deep Learning เริ่มบูม เพราะนักวิจัยพบว่า โครงสร้างของ GPU ที่ออกแบบให้ประมวลผลพร้อมกันได้หลายพันเทรดนั้น เหมาะกับการฝึกสอนโมเดล AI ขนาดใหญ่แบบเหลือเชื่อ

จุดเปลี่ยนคือปี 2012 เมื่อทีมวิจัยใช้ชิป Nvidia ร่วมกับ CUDA ในการเทรนโมเดล AlexNet ซึ่งสามารถจดจำภาพได้แม่นยำเป็นประวัติการณ์ กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้วงการ AI หันมามอง Nvidia อย่างจริงจัง

หลังจากนั้น Huang ไม่ได้มองตัวเองแค่ “ผู้ผลิตชิป” แต่เปลี่ยนบทบาทของ Nvidia ไปเป็น “ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการประมวลผลสำหรับศูนย์ข้อมูลและ AI โดยเฉพาะ” โดยที่ปี 2016 เขายังได้บริจาคซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI เครื่องแรกของ Nvidia รุ่น DGX ให้กับ OpenAI เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศของนักพัฒนาให้เติบโต

ดังนั้น Nvidia จึงไม่ได้เติบโตมาแค่จากการขายฮาร์ดแวร์ แต่ยังสร้างระบบนิเวศรอบ GPU อย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่พัฒนาซอฟต์แวร์ CUDA, CUDA-X (ที่ถนัดงานสำหรับ Deep Learning, Data Science ตลอดจน Quantum Computing), ออกแบบเครื่องมือพัฒนา, และสร้างพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

โมเดลนี้สร้าง “Flywheel Effect” หรือวงจรเร่งความสำเร็จที่สร้างโมเมนตัมให้ Nvidia โดยที่ลูกค้าหรือผู้ใช้ไม่สามารถย้ายออกไปแพลตฟอร์มอื่นได้ เพราะจะทำให้มีต้นทุนสูงมากขึ้น จึงทำให้ Nvidia มีเครดิตอย่างมากในโลกของฮาร์ดแวร์

และเมื่อกระแส AI มาแรง โดยเฉพาะ Generative AI อย่าง ChatGPT ที่โมเดลเบื้องหลังทั้งหมดฝึกด้วยชิป Nvidia ความต้องการ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลก็ระเบิดแบบก้าวกระโดด ทาง Jensen Huang จึงประกาศวิสัยทัศน์ว่า AI Infrastructure จะกลายเป็นนวัตกรรมแห่งศตวรรษใหม่ และจะเปรียบเสมือน “สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน” เหมือนกับไฟฟ้าในยุคอุตสาหกรรมเลยทีเดียว

ปัจจุบัน Jensen Huang ยังคงถือหุ้นใน Nvidia อยู่ที่ 3.6% โดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยมือจากหุ้นนี้ ซึ่งข้อมูลจาก Forbes ชี้ว่า เขามีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 97,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และล่าสุดก็มีรายงานออกมาว่า ค่าตอบแทนของซีอีโอ Nvidia จะถูกปรับขึ้นเป็น 49.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 นี้ (ปรับขึ้นจาก 34.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2024) โดยจะรวมทั้งโบนัสและหุ้นจูงใจ



ที่มา: Nvidia [1][2], Business Insider [1][2], Forbes [1][2], Reuters, CBSCNBC




อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney 



Author

Thanthida Thongphet

Thanthida Thongphet
Digital Economy & Future of Finance