แม้ชื่อของ “Scott Bessent” อาจไม่คุ้นหูคนทั่วไปเท่าบรรดานักการเมืองชื่อดัง แต่ในแวดวงการเงินและการเมืองสหรัฐฯ ปี 2025 นี้ เขาคือผู้กุมทิศทางนโยบายเศรษฐกิจระดับชาติ ในฐานะรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ (U.S. Secretary of the Treasury) และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนชีพของแนวคิด “ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)” ที่กลับมาเขย่าการค้าโลกอีกครั้งในยุคสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์
หลายคนอาจสงสัยว่า Bessent คือคนที่คิดนโยบายนี้ขึ้นมาจริงไหม? คำตอบคือ “ไม่ใช่ผู้ริเริ่ม” แต่เป็นคนที่ทำให้ไอเดียนี้กลายเป็นนโยบายจริงอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยสูตรคำนวณชัดเจน เอกสารทางกฎหมายเรียบร้อย และแผนเจรจาต่อรองระดับโลกที่วางหมากมาแล้วล่วงหน้า
แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ Scott Bessent เป็นใคร? มีเส้นทางจากวอลล์สตรีทอย่างไร? และเหตุใดเขาจึงกลายเป็น “ขุนคลัง” คนสำคัญของทรัมป์? บทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังชีวิตและความสำเร็จของเขา
Scott Kenneth Homer Bessent หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ “Scott Bessent” รัฐมนตรีคลังของสหรัฐอเมริกาในรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี 1962 ที่เมืองคอนเวย์ รัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้อง 3 คน ในครอบครัวชนชั้นกลาง โดยคุณพ่อ Homer G. Bessent Jr. ทำงานเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และต้องบอกก่อนว่าชีวิตในวัยเด็กของ Scott Bessent ก็ค่อนข้างจะเรียบง่าย ไม่ได้เรียนโรงเรียนเอกชน และไม่มีเส้นสายใด ๆ ในโลกการเรียน
แต่ด้วยความขยันและแรงผลักดันทำให้ Scott Bessent ได้เข้าเรียนในระดับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ที่ Yale University ซึ่งในช่วงนั้นเขาให้ความสนใจกับการเป็นนักข่าว โดยรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการของ Yale Daily News ข่าวภายในของมหาวิทยาลัย และยังเป็นนักกิจกรรมตัวยง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประธานชมรมรุ่นอาวุโส Wolf’s Head และยังรับบทเหรัญญิกประจำรุ่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Bessent ก็ได้พบจุดเปลี่ยนของชีวิตในวัยเรียน หลังจากพยายามสมัครเข้ารับตำแหน่งสูงสุดในสำนักข่าวของมหาวิทยาลัย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เขาเลือกเปลี่ยนเส้นทาง มาสนใจในด้านการเงิน โดยได้เริ่มต้นจากการฝึกงานกับนักลงทุนชื่อดังระดับตำนานอย่าง “Jim Rogers” (อดีตคู่หูของ George Soros และผู้ร่วมก่อตั้ง Quantum Fund)
ซึ่งในช่วงนั้น Jim Rogers ไม่เพียงให้โอกาส แต่ยังเปิดสำนักงานให้ Bessent หนุ่มน้อยในขณะนั้น ได้ใช้ชีวิตภายในสำนักงาน ซึ่งรวมไปถึงการต้องนอนบนโซฟา ระหว่างฝึกงาน ซึ่งนั่น Bessent เล่าว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ธรรมดา และกลายเป็นก้าวแรกของเขาในโลกของการลงทุนระดับโลก
และหลังจากจบการศึกษาจาก Yale University ในปี 1984 ทาง Scott Bessent ได้เริ่มทำงานที่ธนาคารเอกชนเก่าแก่ “Brown Brothers Harriman” ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ ก่อนจะออกไปหาประสบการณ์ระดับโลกกับบริษัท Olayan Group ที่ดูแลการลงทุนของกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบีย
จนในช่วงปลายยุค 80 เขาก็ได้ย้ายเข้าสู่ใจกลางวอลล์สตรีท ทำงานกับ “Kynikos Associates” บริษัทเฮดจ์ฟันด์ชื่อดังของนักลงทุนสาย Short อย่าง Jim Chanos ซึ่งมีลูกค้าคนสำคัญอย่าง George Soros นั่นเอง
และจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึงในปี 1991 เมื่อ Scott Bessent ในวัยเพียง 28 ปี ก็ถูกดึงตัวไปร่วมงานกับ “Soros Fund Management (SFM)” กลายเป็นนักลงทุนหนุ่มที่ได้ร่วมทีมกับ George Soros หรือพ่อมดทางการเงินโดยตรงในช่วงเวลาที่อาณาจักรเฮดจ์ฟันด์กำลังเติบโตสูงสุด จนเรียกได้ว่านี่เป็นยุคทองของ Bessent ในวอลล์สตรีทเลยทีเดียว
Scott Bessent ได้กลายเป็น “ดาวรุ่งแห่งวอลล์สตรีท” โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นพาร์ตเนอร์ และขึ้นแท่นหัวหน้าสำนักงานลอนดอน ของ SFM ดูแลพอร์ตลงทุนในตลาดยุโรป
ไฮไลต์สำคัญของยุคนี้คือการที่ Bessent มีบทบาทสำคัญในหนึ่งในดีลเฮดจ์ฟันด์ที่โด่งดังที่สุดในโลก นั่นก็คือการที่ Soros เทขายเงินปอนด์อังกฤษในเหตุการณ์ Black Wednesday ปี 1992 โดย Bessent เป็นหนึ่งในทีมที่คาดการณ์ล่วงหน้าว่าเงินปอนด์จะถูกบีบให้หลุดออกจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนยุโรป และเมื่อเดิมพันนั้นถูกต้อง กองทุนของ Soros ก็ฟันกำไรมหาศาลกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่ Soros ที่โด่งดังระดับโลก Bessent เองก็ถูกยกย่องว่าเป็น “นักลงทุนสาย Macro ที่กล้าได้ กล้าเสี่ยงอย่างแท้จริง”
ตลอดยุค 90 เขาบริหารสินทรัพย์กว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 26.5% หรือสูงกว่าดัชนีตลาดเกือบทุกตัวในยุคนั้น จนได้รับเลือกติดโผ “40 Under 40” ของ Crain’s New York Business ตอนอายุเพียง 38 ปี
จนกระทั่งปี 2000 เมื่อ Soros ตัดสินใจลดขนาดธุรกิจและปิดกองทุนยุโรปลง Bessent ก็แยกตัวออกจากบริษัท เพื่อเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง ด้วยการเปิดตัว “Bessent Capital” ในปี 2000 และสามารถระดมทุนได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยความหวังจะสร้างผลตอบแทนระดับ 30% เช่นเดียวกับตอนที่อยู่กับ Soros
แต่โชคชะตากลับเล่นตลก ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด… เพราะเมื่อกองทุนเปิดตัวได้ไม่นานก็ต้องเจอกับฟองสบู่ดอทคอมแตก และในครึ่งแรกของปี 2001 กองทุนก็ขาดทุนกว่า 10% ส่งผลให้ลูกค้าจำนวนมากขอถอนเงิน และทำให้เขาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์จากการลงทุนในหุ้นยุโรปกลับไปสู่แนว Macro ที่ถนัด
แม้จะฟื้นตัวบางส่วน แต่แรงสั่นสะเทือนจากตลาดและความไม่มั่นใจของนักลงทุนก็ทำให้ Bessent ตัดสินใจปิดรับเงินภายนอกในปี 2005 และเปลี่ยน Bessent Capital ให้เป็น Family Office ดูแลเงินของตัวเองและกลุ่มพาร์ตเนอร์เพียงไม่กี่คน ซึ่งภายหลังเขายอมรับว่า “การพยายามเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อเอาใจลูกค้า” คือบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาตั้งปณิธานว่า “จะไม่ทิ้งสไตล์การลงทุนที่ตนเชื่อมั่นอีกต่อไป”
และหลังจากพับกองทุนตัวเอง Scott Bessent ก็ยังไม่ได้หายไปจากวงการการเงินเสียเลยทีเดียว แต่เลือกเดินสองเส้นทางคู่ขนาน โดยในปี 2007 เขาได้เข้าร่วม “Protégé Partners” ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ ทำหน้าที่คัดเลือกกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายอื่นเพื่อลงทุน ซึ่งทำให้เขาได้เห็นภาพรวมหลากหลายของกลยุทธ์ในตลาดโลก
พร้อมกันนั้น เขายังสอนหนังสือที่ Yale University ในฐานะอาจารย์พิเศษด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ สอนเรื่องวัฏจักรฟองสบู่-ฟื้นตัว และวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งในช่วงเวลานี้ถือเป็นการรีเซ็ต และตกตะกอนความรู้ของเขาอย่างแท้จริง โดย Bessent เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักลงทุนในฐานะมือวิเคราะห์กองทุนระดับเทพ ที่เข้าใจตลาดทั้งจากประสบการณ์ตรงและจากมุมมองเชิงประวัติศาสตร์
จนในปี 2011 เมื่อ George Soros ตัดสินใจปิดรับเงินจากภายนอกและเปลี่ยน Soros Fund Management ให้เป็น Family Office มูลค่ากว่า 25,000-30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาก็เลือกคนเก่าที่ไว้วางใจมากที่สุดให้มาดูแล นั่นก็คือ Scott Bessent ที่ดึงกลับมารับตำแหน่ง “Chief Investment Officer (CIO)” ดูแลเงินทั้งหมดของ Soros และครอบครัว พร้อมแสดงฝีมืออีกครั้งในการวางเดิมพันเชิง Macro ระดับโลก
ตัวอย่างที่เด่นที่สุดคือ การเทขายค่าเงินเยนญี่ปุ่นช่วงปี 2012-2013 ซึ่งเกิดขึ้นช่วงที่ญี่ปุ่นใช้มาตรการการเงินผ่อนคลาย (Abenomics) และ Bessent คาดการณ์ได้แม่นยำว่าเงินเยนจะอ่อนค่ารุนแรง และเพียงดีลเดียวนี้ก็ทำกำไรเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในช่วงปี 2011-2014 ที่ Bessent สามารถทำกำไรรวมให้ Soros ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์วหรัฐจากหลากหลายดีล
ด้วยผลงานเหล่านี้ เขาถูกขนานนามว่าเป็น “Protégé (โปรเตเก้) ที่ Soros ไว้วางใจที่สุด” และในปี 2015 เมื่อเขาตัดสินใจลาออกเพื่อกลับมาเปิดกองทุนของตัวเองอีกครั้ง Soros ก็ยังกล่าวชมเชยอย่างเป็นทางการว่า “Bessent คือคนที่บริหารเงินของตระกูลเราด้วยความสามารถและซื่อสัตย์อย่างที่สุด”
หลังจากนั้นในปี 2015 Bessent ได้เปิดตัวบริษัทเฮดจ์ฟันด์ของตัวเองในชื่อ “Key Square Group” ที่นิวยอร์ก โดยยังคงใช้กลยุทธ์ถนัดแบบ Global Macro ซึ่งเน้นมองเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกเป็นตัวขับเคลื่อนการลงทุน และมีไฮไลต์สุดปังของกองทุนนี้คือการที่ George Soros ลงเงินให้ถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นเงินก้อนตั้งต้น จนนับว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนเริ่มต้นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเฮดจ์ฟันด์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเปิดตัวสวยงาม ผลตอบแทนปีแรก (2016) ทำได้ดีถึง +13% แต่หลังจากนั้น Key Square ก็เริ่มเผชิญแรงเสียดทาน ซึ่งระหว่างปี 2017-2020 กองทุนกลับทำผลงานนิ่งหรือขาดทุนเล็กน้อย ติดต่อกันหลายปี จนนักลงทุนสถาบันหลายรายเริ่มหมดความอดทน บางคนถึงกับบอกว่า ผลตอบแทนไม่นิ่งพอสำหรับจะอยู่ต่อ
จนในช่วงหลังโควิด-19 ระบาดหนัก Bessent ก็ใช้ประสบการณ์สาย Macro พลิกเกมในช่วงตลาดผันผวน อาศัยโอกาสจากนโยบายดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง และการฟื้นตัวหลังโควิด แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะลูกค้าเดิมส่วนใหญ่ “ออกจากเกม” ไปแล้วก่อนจะได้เห็นช่วงฟื้นตัว
และเพื่อไม่ให้รายได้ผูกติดกับกองทุนหลักมากเกินไป Bessent จึงแตกธุรกิจออกเป็นหลายแขนง เช่น เป็นที่ปรึกษาการลงทุน ให้กองทุนใหญ่ ให้คำแนะนำกลยุทธ์ แก่ Family Office บ่มเพาะทีมลงทุนใหม่ ภายใต้ร่ม Key Square ต่อ
ซึ่งปัจจุบัน จากรายงานของ Fortune มีการคาดการณ์ว่า ความมั่งคั่งของ Scott Bessent อยู่ที่ 521 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเคยมีรายงานว่า Bessent มีแผนจะลาออกจาก Key Square อีกทั้งเล็งจะขายหุ้นทั้งหมดออกอีกด้วย เนื่องจากการสับเปลี่ยนมาสู่เส้นทางการเมือง
ก่อนที่ Scott Bessent จะเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังในต้นปี 2025 แนวคิด “ภาษีตอบโต้” หรือการตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในอัตราเท่ากับที่ประเทศนั้นเก็บกับสินค้าอเมริกัน เป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยพูดมาตั้งแต่สมัยแรกที่ดำรงตำแหน่ง
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ทรัมป์ได้ประกาศว่า “หากประเทศอื่นเก็บภาษีเราที่ 50% เราก็จะเก็บพวกเขาที่ 50% เช่นกัน” จนต่อมาในปี 2019 พรรครีพับลิกันก็ได้ยื่นเสนอร่างกฎหมายชื่อ United States Reciprocal Trade Act เพื่อให้อำนาจประธานาธิบดีตั้งภาษีตอบโต้ได้ แต่วุฒิสภาไม่ผ่าน
อย่างไรก็ตาม แนวคิด “Reciprocity” เคยถูกใช้ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1934 มาแล้ว แต่อยู่ในบริบทของ “การแลกเปลี่ยนลดภาษี” ไม่ใช่ “การตั้งภาษีสู้กัน”
ซึ่งในครั้งนี้ ก็สามารถกล่าวได้ว่า ภาษีตอบโต้เป็นแนวคิดที่ทรัมป์ริเริ่มทางวาทกรรม ส่วน Scott Bessent ก็คือคนที่เปลี่ยนให้มันกลายเป็นนโยบายของจริงนั่นเอง
ซึ่งก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังตอนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปี 2024 และกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ทีมเศรษฐกิจใหม่ต้องถูกจัดตั้งขึ้น ทำให้ Scott Bessent อดีตผู้จัดการเงินของ George Soros และเจ้าของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Key Square Group ได้กลายเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกหลักของทรัมป์ในการนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ
สิ่งที่ Bessent ทำมีมากกว่าการสานต่อนโยบาย แต่คือการออกแบบกลไกภาษีตอบโต้ให้สามารถใช้งานได้จริง ซึ่งเขาไม่ใช่คนคิดสโลแกน “ภาษีตอบโต้” แต่คือคนที่ “เขียนสูตรคำนวณ - ร่างคำสั่งประธานาธิบดี - จัดทำตารางภาษีต่อประเทศ - แล้วลงสนามเจรจาด้วยตัวเอง”
Scott Bessent ได้วางสูตรไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงหาเสียงปี 2024 ว่า “ถ้าประเทศไหนตั้งกำแพงภาษีกับเราสูงเท่าไหร่ เราก็จะตั้งกลับไปเท่านั้น โดยดูทั้งภาษีศุลกากรโดยตรง มาตรการกีดกันการค้า และดุลการค้าระหว่างประเทศนั้นกับสหรัฐฯ”
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการออกแบบ “Tariff Matrix” หรือตารางภาษีแบบ Country-by-Country ซึ่งถูกนำไปใช้จริงในคำสั่งประธานาธิบดี Executive Order 14257 ลงนามโดยทรัมป์เมื่อ 2 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา
โดยมีรายละเอียดสำคัญคือ ตั้ง Global Tariff เบื้องต้นที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วไป และอาจเพิ่มอัตราเป็นพิเศษสำหรับประเทศที่ถูกประเมินว่ามีอุปสรรคการค้าสูง หรือได้เปรียบดุลการค้ามากเกินไป
หลังคำสั่งภาษีตอบโต้มีผล ก็ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างจับตาว่าสหรัฐฯ จะต่อรองอะไรจากแต่ละประเทศ ในขณะที่ Bessent กลายเป็นคนที่วอลล์สตรีทและต่างประเทศต้องพูดถึงมากที่สุดในแง่นโยบายเศรษฐกิจ
ถึงแม้แนวคิดนี้จะมีเสียงวิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมจำนวนมาก แต่ Bessent เคยโต้แย้งไว้ว่า “ภาษีของทรัมป์ในอดีตไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนคิด เราต้องเลิกยึดติดกับสมมติฐานเดิม ๆ และหันมาดูข้อมูลจริงในปัจจุบันมากขึ้น”
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney