
เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หลังจากแจ้งการเสียชีวิตต่อสำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อออกใบมรณบัตร หลังจากนั้นครอบครัวส่วนใหญ่มักจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อจัดการทรัพย์มรดกให้เป็นไปตามกฎหมาย KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวตแบงกิ้ง) ผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวที่ครอบคลุมทุกมิติ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและจำเป็นในการตั้ง “ผู้จัดการมรดก” ที่จะต้องมีก่อนเกิดปัญหาชวนปวดหัวตามมา และป้องกันศึกแย่งชิงมรดก
หน้าที่ของ ‘ผู้จัดการมรดก’ ที่ ‘ผู้มีส่วนได้เสีย’ ต้องรู้ ก่อนเกิดปัญหาน่าปวดหัว
นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า “ผู้จัดการมรดก” จะดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญต่อทรัพย์มรดกของผู้เสียชีวิต ได้แก่
1) รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน: อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น บัญชีเงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินประเภทอื่นๆ เช่น ทองคำ เครื่องประดับ
2) จัดการทรัพย์มรดก: ดูแล รักษา หรือจัดการทรัพย์มรดกตามที่จำเป็นหรือที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
3) จัดแบ่งทรัพย์มรดก: แบ่งสินสมรส (ถ้ามี) และแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท/ผู้รับพินัยกรรม
4) ยื่นภาษีเงินได้: ในปีแรกที่เสียชีวิต ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามผู้ตาย และในปีถัดจากปีที่เสียชีวิต หากยังไม่ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้ทายาท ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามกองมรดก (ต้องขอเลขผู้เสียภาษีต่างหาก)
ขณะที่ขั้นตอนในการตั้งผู้จัดการมรดก ให้ทายาท หรือผู้ร้อง (อาจเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้) ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ดำเนินการตั้งผู้จัดการมรดกโดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ไม่มีพินัยกรรม อาจขอให้ตั้งทายาท/คู่สมรส คนใดคนหนึ่ง หรือร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก หรือตั้งบุคคลอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย
กรณีที่มีพินัยกรรมและมีการระบุผู้จัดการมรดกไว้แล้ว ให้ตั้งบุคคลที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดก หลังจากศาลได้ประกาศเพื่อให้ทายาทคัดค้าน และไต่สวนคุณสมบัติผู้ร้อง หากไม่มีการคัดค้าน ศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งผู้จัดการมรดก ภายในระยะเวลา 2-3 เดือน จากนั้น ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน และต้องเสร็จภายใน 1 เดือน หรือตามระยะเวลาที่ศาลขยายให้
รวมทั้งจะต้องดำเนินการทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกภายใน 1 ปี หรือตามระยะเวลาที่ทายาท/ศาล กำหนดไว้ด้วย
“ผู้จัดการมรดก” ละเลยหน้าที่-ทุจริต ทำยังไงได้บ้าง?
หากผู้จัดการมรดกไม่ทำตามหน้าที่/ทุจริต ทายาท ผู้รับพินัยกรรมหรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดก สามารถดำเนินการกับผู้จัดการมรดกได้ เช่น ถอนผู้จัดการมรดก, ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก, ฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก และดำเนินคดีอาญาความผิดฐานยักยอก
จะเห็นได้ว่าผู้จัดการมรดก มีหน้าที่ในการจัดการมรดกโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การรวบรวมทรัพย์มรดก เพื่อแบ่งให้ทายาท ตลอดจนชำระหนี้สินของเจ้ามรดกแก่เจ้าหนี้ ทำบัญชีทรัพย์มรดกและรายการแสดงบัญชีการจัดการ ซึ่งหากผู้จัดการมรดกไม่ใช่ทายาท หรือผู้รับพินัยกรรมของเจ้าของมรดก ผู้จัดการมรดกก็จะไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก จึงถือว่าไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก
และว่ากันตามตรงหากผู้จัดการมรดกไม่ดำเนินการตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือทำการทุจริตต่อทรัพย์มรดก อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายด้วย ผู้จัดการมรดกจึงถือเป็น “คีย์แมน” หรือบุคคลสำคัญในการบริหารจัดการและดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับมรดก ทั้งทรัพย์สินที่ต้องส่งต่อแก่ทายาท หรือการจัดการเรื่องหนี้สิน หากเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้ ผู้จัดการมรดกก็สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ต้องดำเนินการต่างๆ ตามขั้นตอน ดังนั้นการทำพินัยกรรมกำหนดผู้จัดการมรดกที่มีความเป็นกลางหรือที่ทายาททุกคนยอมรับไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจไม่ใช่บุคคลที่เป็นทายาทก็ได้ ก็จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้