ผวาค่าหมอหนุนธุรกิจประกัน

Personal Finance

Insurance

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ผวาค่าหมอหนุนธุรกิจประกัน

Date Time: 4 มี.ค. 2568 06:02 น.

Summary

แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น และประชาชนมีรายได้ฝืดเคือง ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย แต่ทิศทางการดำเนินธุรกิจประกันชีวิตของไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง

Latest

3 เรื่องยอดฮิตที่ทำให้เคลมประกัน “ไม่ได้” หลังน้ำท่วม น้ำลดแล้ว จะวางแผนเคลียร์ปัญหาเริ่มที่อะไร?

แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น และประชาชนมีรายได้ฝืดเคือง ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่าย แต่ทิศทางการดำเนินธุรกิจประกันชีวิตของไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง

เพราะผู้บริโภคมีความกังวลในเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และสืบเนื่องจากสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ผู้บริโภคจึงให้ความสำคัญกับการทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพมากยิ่งขึ้น

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย แถลงถึงทิศทางธุรกิจประกันชีวิตของไทยในปี 2568 ว่าสมาคมได้ประมาณการอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตอยู่ที่ในช่วงร้อยละ 2-3

มีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 8-10% โดยบางปีสูงมากถึง 15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการขยายช่วงอายุการรับประกันสุขภาพออกไปจนถึง 80 ปี จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้การประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตต่อไปได้ และจะมีผลขยายไปถึงการประกันชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบตลอดชีพที่เป็นสัญญาหลักด้วย

อีกทั้งยังมีการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนและมาตรการจากภาครัฐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและส่งเสริมภาคธุรกิจผ่านโครงการนวัตกรรมต่างๆ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และการดำเนินงานปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันและผสานรูปแบบการขาย ไปจนถึงการส่งมอบบริการและธุรกรรมหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น

รวมทั้งยังมีการร่วมมือกันอย่างแข็งขันในทุกด้านของธุรกิจผ่านสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายที่จะส่งผลต่อการเติบโตอย่างสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก และเศรษฐกิจภายในประเทศไทยที่มีการเติบโตแบบหดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถานการณ์เงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลกระทบต่อการออม การลงทุน

นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2568 รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าโลกหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ กระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งด้านการค้าและบริการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังไม่ยุติ ก่อให้เกิดความผันผวนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากขึ้น

ในส่วนภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตของปี 2567 นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 653,923 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.23 เมื่อเทียบกับปี 2566 จำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 184,331 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.28 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป 469,592 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 83

สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย 1.เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 120,026 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.81 และ 2.เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว 64,305 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 2.71

สาเหตุสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในปี 2567 มาจากปัจจัยเอื้อทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกระแสใส่ใจสุขภาพของประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตเพิ่มขึ้น และยังช่วยเสริมให้สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 124,786 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.66 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.08 และยังช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นสัญญาหลักเติบโตขึ้นตามไปด้วย โดยแบบตลอดชีพมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 110,777 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.93 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.94 ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 282,302 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.17

นอกจากนี้ยังมีเหตุจากความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะการรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป มีสัดส่วนร้อยละ 72 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 83 ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ มีสัดส่วนร้อยละ 28 เติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเติบโตของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ และสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง

“ในปีนี้สมาคมประกันชีวิตไทยยังมีแผนดำเนินงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน โดยนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ ESG ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ซึ่งเป็นกรอบการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ธุรกิจประกันชีวิตมีความยั่งยืนในระยะยาว”.

เจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจ

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ