
จากกรณีกระบะแต่งซิ่งชนท้ายรถหรู "โรลส์-รอยซ์" ราคากว่า 42 ล้านบาท บนมอเตอร์เวย์ ซึ่งจากภาพจะเห็นได้ว่าเป็นการชนในลักษณะที่กำลังจะเลี้ยวออกทางซ้ายเพื่อแซงรถหรูคันดังกล่าว แต่ไม่พ้น ทำให้ชนเข้าทางด้านซ้ายอย่างจัง
แต่แน่นอนว่ารถราคาขนาดนี้ค่าซ่อมก็คงไม่ธรรมดา และเบี้ยประกันของรถหรูระดับซุปเปอร์คาร์ก็ต้องมีราคาสูงกว่าประกันรถทั่วไปอย่างแน่นอน
เคสนี้ทาง #Thairath Money ได้มีการสอบถามไปยัง อาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันรถหรูระดับลักชัวรี่อย่าง โรลส์-รอยซ์, เฟอร์รารี่, เบนท์ลีย์ โดยทั่วไปเบี้ยประกันอยู่ที่เท่าไร? จ่ายแพงกว่ารถยนต์ทั่วไปแล้วคุ้มครองมากกว่าจริงหรือไม่ รวมทั้งเกณฑ์ในการพิจารณาประกันเป็นอย่างไร?
ซึ่งพบว่าเบี้ยประกันภัยมีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลายแสนบาท ขึ้นอยู่กับว่าวงเงินของรถจะคุ้มครองเท่าไร ส่วนอีกหนึ่งประเด็นคือการคุ้มครองความเสียหายจะคุ้มครองอย่างไร? เพราะโดยปกติประกันภัยรถยนต์จะแบ่งออกเป็นสองภาคคือ
1.ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (Compulsory Motor Insurance) การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า ประกันภัย พ.ร.บ. ซึ่งรถยนต์ทุกคันทุกชนิดต้องทำประกันภัยประเภทนี้ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะดูแลผู้ประสบภัยจากรถ
2.ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Motor Insurance) การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ (ผู้เอาประกันภัย) และผู้ขาย (บริษัทประกันภัย) โดยเป็นการเลือกซื้อความคุ้มครองประกันภัยตามความพึงพอใจของผู้ซื้อ ซึ่งผู้ซื้อทำด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับโดยกฎหมาย ซึ่งจะแบ่งความคุ้มครองด้วยเช่นกัน
โดยจะแบ่งออกเป็นความรับผิดต่อบุคคลอื่น และอีกแบบคือ คุ้มครองตัวรถคันเอาประกันภัยด้วยที่จะมีหลากหลายความคุ้มครอง ทั้งนี้หากจะทำประกันภัยแบบฟลูออปชันคือประกันภัยประเภทหนึ่ง ซึ่งให้ความคุ้มครองกรณีที่รถคันเอาประกันภัยไปชนคันอื่น และผู้อื่นได้รับความเสียหาย ซึ่งบริษัทประกันภัยก็จะเข้ามาชดใช้ค่าเสียหายแทนรถคันเอาประกันภัย ในวงเงินที่ซื้อเอาไว้
หากจะโฟกัสไปที่ความเสียหายของตัวรถ เช่น รถโรลส์-รอยซ์ที่เกิดเหตุ เมื่อทำประกันภัยประเภทหนึ่ง และหากเกิดการไปชนคันอื่น และตนเองก็เสียหายด้วย ประกันภัยก็จะคุ้มครอง หรือกรณีที่มีรถอื่นมาชนก็เป็นทางเลือกของผู้เอาประกันภัยว่าจะเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยของเราเอง หรือคู่กรณี
ซึ่งหากเรียกร้องจากประกันภัยของเราเอง เมื่อบริษัทประกันภัยซ่อมรถคันนั้นเสร็จ เป็นจำนวนเงินเท่าไร บริษัทก็จะรับช่วงสิทธิ์ไปไล่เบี้ยกับคนที่ชน
ทั้งนี้เบี้ยประกันภัยก็จะขึ้นอยู่กับวงเงินความคุ้มครอง แต่สำหรับรถยนต์ประเภทนั่ง อาทิ รถเก๋ง หลักเกณฑ์ในการคำนวณเบี้ยก็จะประกอบด้วยปัจจัยในการคำนวณเบี้ยหลายๆ อย่าง ได้แก่
1.ประเภทกรมธรรม์ที่ซื้อ
2.ลักษณะการใช้รถยนต์ เป็นส่วนบุคคล หรือเชิงพาณิชย์ เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยประกันภัย เช่น รถยนต์ที่มีความเสี่ยงภัยน้อยกว่าจะเสียเบี้ยประกันภัยถูกกว่า
3.รุ่นรถ ยี่ห้อรถ เพราะในแต่แบรนด์อัตราราคาค่าซ่อมไม่เหมือนกัน รถคันไหนซ่อมแพง ก็จะเสียเบี้ยแพง
4.วงเงินความคุ้มครอง หากมีวงเงินมากอย่างตัวรถ Toyota Vios กับ Rolls Royce ราคา 30-40 ล้านบาท วงเงินก็จะแตกต่างกัน
5.อายุรถ เป็นตัวแปรที่ทำให้ความเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้นหรือลดลง อีกทั้งอัตราการเกิดเหตุ อัตราการซ่อมก็จะไม่เหมือนกัน
อาภากร มองว่า ทุกบริษัทประกันภัยมีสิทธิ์รับแทบทั้งสิ้น แต่โดยส่วนใหญ่การเลือกทำประกันภัยจะเลือกทำกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากวงเงินคุ้มครองความเสียหายค่อนข้างสูง จึงต้องมีความพร้อมในเรื่องของอะไหล่ เพราะบริษัทประกันภัยต้องมั่นใจว่าตนเองหาอะไหล่ได้ ในขณะเดียวกันหากซ่อมโดยใช้ระยะเวลานาน บริษัทจะต้องรับผิดชอบเรื่องของค่าขาดประโยชน์ด้วยเช่นกัน
ต้องมองว่ารถโรลส์-รอยซ์ตามข่าวที่ถูกชนเมื่อไปเคลมกับบริษัทประกันภัยของตนเอง บริษัทก็จะรับช่วงสิทธิ์ไปเรียกร้องกับคู่กรณี แต่เนื่องจากว่าหากได้แจ้งกับบริษัทประกันภัยไว้แล้ว มีรายละเอียดของรถคู่กรณีที่ชนจะไม่เสียค่า Excess แต่หากไม่แจ้ง หรือแจ้งไม่ได้ จะถือว่าการเกิดเหตุไม่มีคู่กรณี แต่จากกรณีดังกล่าวคาดว่าบริษัทประกันภัยจะตามได้ เมื่อนำซ่อมรถคันเอาประกันภัยแล้ว ก็ควรจะต้องเรียกคืนจากคนที่กระทำความผิดด้วยเช่นกัน
ถ้าเจ้าของรถหรูไม่ติดใจเอาความ จริงๆ แล้วหากกรณีนี้รถมีประกัน และสิทธิ์ในการซ่อม เมื่อรถหรูนำเข้าไปซ่อมกับบริษัทประกันภัย สิทธิ์ในการเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากการละเมิด เป็นสิทธิของบริษัทประกันภัย ซึ่งบริษัทก็จะไม่ละเลยจากการเรียกคืนจากคู่กรณีเว้นแต่ว่าทางเจ้าของรถจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
ด้วยความที่ทุนประกันภัยสูงกว่ารถทั่วไปชัดเจนว่า รถหรูต่างๆ ค่าอะไหล่จึงค่อนข้างสูง ก็จะเสียค่าเบี้ยประกันแพง ส่วนอีกประเด็นที่สำคัญคือ เรื่องของช่าง ที่จะต้องเป็นช่างที่มีความเชี่ยวชาญในส่วนของรถหรูรุ่นนั้นๆ โดยในตลาดถือได้ว่าผู้ที่มีความชำนาญทางด้านนี้ค่อนข้างน้อย จึงทำให้ค่าแรงค่อนข้างสูง หรือบางกรณีอาจจะมีในเรื่องของอะไหล่ที่จะต้องสั่งตรงมาจากต่างประเทศ นับเป็นปัจจัยพิเศษสำหรับรถประเภทซุปเปอร์คาร์ รถหรู ภายใต้เงื่อนไขความคุ้มครองที่จะแตกต่างจากรถทั่วๆ ไปนั่นเอง
ชญาน์ธิป พันธุ์มณี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า โดยส่วนใหญ่รถประเภทซุปเปอร์คาร์ที่เป็นรถลักชัวรี่ อาทิ โรลส์-รอยซ์, ลัมโบร์กินี ฯลฯ ซึ่งทุกครั้งในการทำประกันจะมีการประเมินราคาเบื้องต้น ซึ่งในแต่ละบริษัทจะมีเงื่อนไขในการประเมินราคาที่แตกต่างกันไป
ทั้งนี้รถหรูโดยส่วนใหญ่ทำประกันชั้นหนึ่ง โดยสามารถควบคุมได้หลายๆ กลุ่มตามมาตรฐานของกรมการประกันภัย ส่วนเกณฑ์การพิจารณาพื้นฐานจะเป็นการประเมินมูลค่ารถ ในบางบริษัทประกันอาจจะดูถึงผู้ขับขี่เลยด้วยซ้ำ
ส่วนค่าเบี้ยประกันโดยทั่วไปจ่ายตามมาตรฐานคือ 3-5% ต่อปี แล้วแต่ทุนประกันตามหลักการทั่วไป เพราะแต่ละคันมูลค่าของรถ และมูลค่าทุนประกันก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งมูลค่าประกันจะอยู่ที่ 80% ของราคาประเมิน ซึ่งไม่ค่อยต่างกับรถกลุ่มทั่วไปเวลาประเมินทุนประกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูว่าความเสี่ยงที่รับได้ในแต่ละบริษัทประกันจะประเมินอย่างไร.