
เลือกตั้งปี 69 คือจุดเปลี่ยนคนไทย แต่กว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพ เราต้องวางแผนการเงิน-ชีวิตให้รอดเสียก่อน แต่จะเริ่มจากจุดไหนดี
กระแสที่ใครๆ ก็จับตามองตอนนี้คือ การเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 หลายคนหวังว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยที่ซบเซาให้ดีขึ้น ถ้า… รัฐบาลมีเสถียรภาพและโครงการต่างๆ เดินหน้าได้อย่างเต็มที่ แต่ยังมีหลายคนที่มองว่า การเมืองอาจไม่ได้ทำให้ชีวิต หรือการเงินของเราดีขึ้น
วันนี้ Thairath Money อยากชวนมาเจาะลึก 2 เหตุผลว่าทำไมการเมืองถึงเป็นเรื่องปากท้อง และเราต้องคิดให้ดีก่อนเข้าคูหาเลือกคนมาทำงาน!
ทุกวันนี้อะไรๆ ก็หมุนด้วยเงิน การพัฒนาประเทศไทยก็ใช้เงินมหาศาล หนึ่งในเงินทุนที่ขับเคลื่อนประเทศคือ งบประมาณของภาครัฐ แต่หลายปีมานี้เรามักได้ยินคำว่า เศรษฐกิจชะลอตัวจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าของภาครัฐ สาเหตุหนึ่งก็มาจากไทยต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน (ปี 2567 - 2568) ทำให้เกิดภาวะ "สุญญากาศทางการเมือง"
ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่การเบิกจ่ายในประเทศ แต่ทำให้ภาพลักษณ์และทิศทางการพัฒนาประเทศดูไม่แน่นอน เงินทุนต่างชาติ นักลงทุนก็ชะงักและลังเลกันมาตลอดว่า ควรจะทำเงินมาลงทุนในไทยไหม?
จากภาพใหญ่นี้ ลองคิดดูว่าเงินไม่หมุนไป ภาคเอกชนไม่เห็นว่าเศรษฐกิจจะโต แล้วใครจะลงทุนเพิ่ม หรือที่เตรียมจะจ้างพนักงานเพิ่มก็ต้องหยุดไว้ก่อน การผลิตสินค้าก็ต้องลดลงเพราะไม่รู้จะขายได้ไหม เรียกว่าพนักงานหรือลูกจ้างในหลายธุรกิจก็อาจมีรายได้น้อยลง หรือเพิ่มไม่ทันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ภาครัฐมีบทบาทสำคัญกับการดูแลค่าครองชีพ เพราะไม่ว่าจะราคาอาหาร ของใช้ การเดินทาง ไปจนถึงค่าน้ำ ค่าไฟ ที่บางอย่าง “แพง” จากความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้น
เมื่อคนไม่รู้ว่าอนาคตจะมีรายได้ไหม แต่ชีวิตต้องกินใช้ บางคนจึงเลือกกู้เงิน ขอสินเชื่อมาใช้ชีวิต จนเกิดวงจรหนี้เรื้อรัง และตอนนี้ก็กลายเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ไทยยังแก้ไม่ได้เสียที
นี่คืออีกพิษร้ายที่มาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูง และสะท้อนออกมาในผลสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า ปี 2568 ครัวเรือนไทยกว่า 95.1% มีภาระหนี้สิน และมีหนี้เฉลี่ยสูงถึง 740,596.94 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 22% จากปีที่ผ่านมา (เดิมเฉลี่ย 600,000 บาท)ส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือหนี้บ้าน (สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) และยานพาหนะ อาจเรียกว่า คนจำนวนมาก “ทำงานเพื่อจ่ายหนี้” ไม่ใช่เพื่อสร้างชีวิต
ความเปราะบางเหล่านี้หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องมากว่า 10 ปี โดยมีสัดส่วนสูงกว่า 80% ของ GDP ดังนั้นสิ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้ คือ นโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐจะต้องมีแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ทำได้จริง
เศรษฐกิจไทยดี คนย่อมมองเห็นอนาคตว่าพรุ่งนี้ยังหาเงินได้ การจับจ่ายใช้สอยก็จะตามมา ดังนั้นการเลือกตั้งในปีหน้านี้ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยว่าจะก้าวไปข้างหน้า หรือ ชะงักอยู่กลางทางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา
ภาครัฐจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย อาจต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ยิ่งปี 2568 มีเหตุการณ์ใหญ่มากมายทั้งแผ่นดินไหวเมื่อเดือน มี.ค. ไปจนถึงน้ำท่วมในหลายจังหวัด แม้บางคนคาดการณ์ไว้แล้วว่าน้ำจะมา แต่เมื่อเจอมวลน้ำใหญ่ก็ทำให้ชีวิตต้องชะงักไป จะออกไปหารายได้ก็ไม่ไหว รอเงินช่วยเหลือจากรัฐก็อาจไม่ทันการ เราจึงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
1. เงินฉุกเฉิน
นี่เป็นโอกาสให้เราเช็กลิสต์ว่า เงินฉุกเฉิน ที่เตรียมไว้เพียงพอไหม ตามทฤษฎีส่วนใหญ่แนะนำว่าต้องมี 3 - 6 เดือน ของเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ใช้จ่ายทั้งครอบครัว 40,000 บาทต่อเดือน สูตรเดิมอาจต้องเตรียมเงินไว้ 120,000 - 240,000 บาท ถ้าใครลองดูแล้วเงินสำรองก้อนเดิมไม่พอ ก็อาจวางแผนเก็บเงินเพิ่มให้เพียงพอกับสิ่งที่เราต้องใช้จริงเมื่อเกิดวิกฤต
2. จัดการหนี้ ก่อนคิดเรื่องลงทุน
หลายคนคิดว่า ต้องลงทุน ชีวิตถึงจะบวกๆ แต่ลองคิดให้ดี ถ้าเราแบ่งเงิน 100 บาทไปลงทุน ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่ภาพรวมชีวิตเรามีหนี้ดอกเบี้ย 16% ต่อปี เราก็ขาดทุนไปเรียบร้อยแล้วดังนั้นก่อนลงทุน อาจเลือกเคลียร์หนี้ก่อน เพราะการมีหนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าเราแยกออกว่า อันไหนคือ หนี้จำเป็น หรือ หนี้ฟุ่มเฟือย เมื่อเรารวบรวมข้อมูลมา คิด วิเคราะห์ทุกมุมแล้ว ค่อยมาคิดต่อว่าจะจัดการยังไงดี
เช่น มีหนี้บัตรเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 16% ต่อปี, สินเชื่อบ้าน 4% ต่อปี สำหรับบ้านที่ใช้อยู่อาศัย เราต้องผ่อนตามงวดต่อไป (ไม่งั้นจะโดนแบงก์ยึด) และควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปเคลียร์ปิดหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน เราอาจเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ ว่า สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ไหม หรือ จะปรับแผนผ่อนชำระลดดอกเบี้ยลงยังไงได้บ้าง
3. Upskill - สร้างรายได้มากกว่า 1 ทาง (ถ้าเป็นไปได้)
โลกเปลี่ยนไว บริษัทก็หวังได้งานจากเรามากขึ้น ดังนั้น การเพิ่มทักษะ หรือความสามารถใหม่ๆ ไว้ก็อาจทำให้เรามีโอกาสรักษางานประจำที่มีอยู่ ขณะเดียวกันอาจกลายเป็นช่องทางหาเงินใหม่ๆ กลายเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้ให้เราในระยะยาว
ในยุคนี้ มีของที่ทำให้เราอยากใช้เงินมากขึ้นเราก็อาจต้องหารายได้มากขึ้นเพื่อให้ทันสิ่งที่เราต้องการ
การเงินดี ไม่ได้แปลว่าเราต้องมีเงินมหาศาล แต่เราจะจัดสรรเงินแต่ละส่วนอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของเราทั้งในวันนี้ และอนาคต
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney