
หลายคู่เชื่อว่า ทะเบียนสมรส คือสัญลักษณ์ของความรัก แต่สำหรับกฎหมายและระบบเศรษฐกิจ เอกสารแผ่นนี้คือ สัญญาทางการเงินเต็มรูปแบบ ที่ผูกทั้งทรัพย์ หนี้ และความเสี่ยงของคนสองคนเข้าไว้ด้วยกัน
หากเชื่อว่า การแต่งงานโดยไม่จดทะเบียน อาจทิ้งรอยแผลทางความรู้สึกในวันหนึ่ง แต่การจดทะเบียนโดยไม่เข้าใจเรื่องเงิน อาจทิ้งผลกระทบที่หนักกว่า ทั้งการสูญเสียทรัพย์สิน สิทธิทางกฎหมาย และเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวของชีวิตคู่
เมื่อมองผ่านเลนส์ “การเงิน” ไม่ใช่แค่หัวใจ ตามหลักกฎหมาย ทะเบียนสมรสคือเอกสารที่รับรองความสัมพันธ์ของคู่รักให้ถูกต้อง ทำให้สามีภรรยา มีสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมายร่วมกันทันที ซึ่งไม่ได้จบแค่เรื่องความเป็นครอบครัว แต่ลึกไปถึง “ทรัพย์ หนี้ และเงิน”
อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักกฎหมายธรรมนิติ ระบุ สิ่งที่ตามมาทันทีหลังจดทะเบียนสมรส ได้แก่
1.หน้าที่ทางการเงินต่อกัน สามีและภรรยามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ไม่ได้หมายถึงแค่ดูแลยามเจ็บป่วย แต่รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายและความเป็นอยู่
2. สิทธิในทรัพย์สินร่วมกัน ทรัพย์สินใด ๆ ที่เกิดขึ้น ระหว่างสมรส ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน โบนัส รายได้เสริม หุ้น หรือทรัพย์ที่ซื้อมากฎหมายถือว่าเป็น “สินสมรส” มีสิทธิร่วมกันทั้งสองฝ่าย และหากหย่า ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น
3. สิทธิในมรดก คู่สมรสที่จดทะเบียน มีสถานะเป็น ทายาทโดยธรรม ลำดับที่ 1 มีสิทธิในมรดกของอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติต่างจากคู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งอาจไม่มีสิทธิใด ๆ เลย
4. สิทธิในการคุ้มครอง เมื่อความสัมพันธ์สิ้นสุดหากหย่าจากความผิดของอีกฝ่าย คู่สมรสผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงชีพ รวมถึงค่าเสียหายจากคู่สมรสและบุคคลที่สามได้ หากการหย่าทำให้ฐานะทางการเงินแย่ลง
5. สิทธิด้านบุตร การจดทะเบียนทำให้สามีเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีอำนาจปกครองบุตรร่วม และบุตรได้รับการรับรองโดยอัตโนมัติ และยังรวมถึงสิทธิอื่น ๆ ทางการเงินและกฎหมาย ตั้งแต่การลดหย่อนภาษี สิทธิค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการคู่สมรส สิทธิย้ายตามคู่สมรสในระบบราชการ ไปจนถึงสิทธิในการตัดสินใจแทนกันในยามเจ็บป่วยหนัก
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ทะเบียนสมรสไม่ใช่เอกสารความรัก แต่คือ “แพ็กเกจสิทธิและภาระทางการเงิน” เต็มรูปแบบ
หลายคนเข้าใจผิดว่า “เงินใครเงินมัน” ยังใช้ได้หลังแต่งงาน ในความจริง หลังวันจดทะเบียน เงินที่หามาได้ใหม่ ไม่ได้เป็นของคนคนเดียวอีกต่อไป
ทั้งหมดถูกมองผ่านกฎหมายว่าเป็น ทรัพย์ร่วม แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มีส่วนลงแรงหรือช่วยตัดสินใจใด ๆ ก็ตาม ซึ่งประโยคที่หลายคู่ไม่เคยพูดกันตรง ๆ คือ ตั้งแต่จดทะเบียน เงินของคุณ มีชื่ออีกคนพ่วงอยู่ด้วย
ในประเด็นนี้ เรามักจะเห็นได้ชัด ตอนเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ...
1.หนี้สิน เพราะ หนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างสมรส อาจกลายเป็นภาระร่วม แม้เราจะไม่ได้เป็นคนกู้เอง นี่คือเหตุผลที่เราเห็นข่าวคู่รักหรือคนดัง “หย่ากันเงียบ ๆ”ในช่วงที่อีกฝ่ายมีคดีความหรือหนี้ธุรกิจพัวพัน เพื่อแยกความเสี่ยงทางการเงินออกจากกัน
2. ภาษีและมรดก การเป็นคู่สมรสให้สิทธิทางภาษี แต่ขณะเดียวกันก็หมายถึงการเชื่อมโยงทรัพย์และภาระเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน มรดกจะถูกจัดการทันทีตามสถานะสมรส
3. ธุรกิจและหุ้น กำไรจากกิจการที่ทำในช่วงสมรส ถือเป็นสินสมรส ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ในข่าวใหญ่ ๆ เมื่อธุรกิจเริ่มสั่นคลอน เรามักเห็นการ “หย่าเชิงเทคนิค”เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์ทั้งหมดถูกดึงลงไปพร้อมกัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าทะเบียนสมรสไม่ใช่เรื่องโรแมนติกในวันที่รักหวาน แต่มักถูกพูดถึงจริง ๆ ในวันที่เงินเริ่มสั่นคลอน
แต่หากจะถามว่า แล้วระหว่างจดทะเบียนสมรส กับ ไม่จดทะเบียน แบบไหนเสี่ยงกว่ากัน คำตอบคือ เสี่ยงคนละแบบ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อันตรายที่สุด ไม่ใช่การเลือกจดหรือไม่จด แต่คือการเลือก โดยไม่ได้เข้าใจเงื่อนไขต่างๆดั่งที่กล่าวมา ซึ่งก่อนตัดสินใจเซ็นชื่อตัวเองบนเอกสาร ลองถามตัวเอง และถามคนข้าง ๆ ให้ชัดว่า
เราสามารถคุยเรื่องเงินๆทองๆ กันได้อย่างเปิดเผยหรือไม่ สำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันทั้งชีวิต ไปจนถึง การทำ สัญญาก่อนสมรส เพราะในโลกของการเงินความรักอย่างเดียว อาจไม่พอ ถ้าไม่เข้าใจเงื่อนไขที่เซ็นไปพร้อมกัน .
ที่มา : ธรรมนิติ , ธนาคารไทยพาณิชย์ , ไทยประกันชีวิต
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney