
ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูงเกิดขึ้นมายาวนาน แม้ล่าสุดสภาพัฒน์จะบอกว่า ในไตรมาส 2 ปี 68 หนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 16.31 ล้านล้านบาท ปรับลดลงที่ 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งไม่ได้มาจากคนมีหนี้น้อยลง แต่เพราะภาคธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ เพราะครัวเรือนมีความสามารถในการจ่ายหนี้ลดลง
ในไตรมาส 2 ปี 68 สินเชื่อหดตัวเกือบทุกประเภท มีเพียง 1) สินเชื่อส่วนบุคคล ขยายตัว 4.1% และ 2) สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่ขยายตัว 1.7% มูลค่ากว่า 5.7 ล้านล้านบาท จากปัจจัยกระตุ้น ซึ่งได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยชั่วคราว (LTV) และการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางลดลง
แต่ถึงสินเชื่อบ้านจะเติบโตขึ้นกลับมีตัวเลขที่น่าตกใจคือ หนี้เสียและยอดยึดบ้านกลับเพิ่มขึ้นไปด้วย
ข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร พบว่า ในไตรมาส 2 ปี 68 นั้น สัดส่วนหนี้เสีย (NPL: ค้างจ่ายหนี้เกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมยังเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.11% โดยสินเชื่อบุคคลธรรมดาที่เป็น NPLs มียอดอยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%YoY และพุ่งขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ
หนึ่งในนั้นคือ “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” ที่ต้องเฝ้าระวังปัญหาการถูกยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ในไตรมาส 2 ปี 68 จำนวนที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและประกาศขายโดยกรมบังคับคดีนั้นมีจำนวนสูงถึง 67,641 หน่วย เพิ่มขึ้น 210.1%YoY หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 1.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่มักกระจุกตัวในสินเชื่อบ้านที่มูลค่าต่ำล้านบาท
ที่ผ่านมาสินเชื่อบ้านมักเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนเลือกจะ “เบี้ยวหนี้” ดังนั้นนี่อาจเป็นจุดที่ทุกภาคส่วนต้องกลับมามองแล้วว่า คนกลุ่มไหนที่เปราะบางมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน หรือต้องมีเครื่องมือไหนที่ช่วยให้เขาบริหารการเงินของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
บางช่วงชีวิตถ้าการเงินติดขัดจนเราอาจ “ผ่อนบ้านไม่ไหว” เราจะมีทางออกแบบไหนบ้าง Thairath Money รวบรวมมาให้แล้ว 4 วิธี
1. ปรับปรุงการเงินส่วนบุคคล
เมื่อรู้ตัวว่า การเงินเดือนชนเดือนแทบไม่มีจ่ายค่างวดผ่อนบ้าน อย่างแรกมาเริ่มด้วยปรับพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองดูก่อน อาจทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้รู้ว่าค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่จำเป็นหรือถ้าเจอส่วนที่ตัดได้ก็ลดลง แต่ถ้าลดรายจ่ายไม่ได้อาจต้องหารายได้เสริมให้เพียงพอกับความต้องการของเรา
2. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
บางครั้งการคิดคนเดียวก็อาจไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ดังนั้นเมื่อปัญหาที่เรากำลังแบกรับอยู่หนักเกินกำลัง อาจขอคำปรึกษาจากคนรอบตัว หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเงินและหนี้ ซึ่งเราสามารถติดต่อใช้บริการได้ฟรี เช่น ทางด่วนแก้หนี้โทร 1213, หรือหมอหนี้เพื่อประชาชน จากธนาคารแห่งประเทศไทย, คุยกับที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้ช่วยประเมินและวางแผนแก้ไข-ชำระหนี้ของเราต่อไป
3. คุยกับธนาคารเพื่อหาแนวทางอื่นๆ
หนี้บ้าน สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำคือ การปล่อยทิ้ง ไม่จ่ายค่างวด เพราะการผิดนัดชำระจะทำให้เสียประวัติ เมื่อรู้ตัวว่าจ่ายหนี้ไม่ไหวให้รีบติดต่อธนาคารฯ เพื่อปรึกษาหาทางออก วิธีนี้ยังเป็นการแสดงความตั้งใจจริงว่าเราอยากแก้ปัญหานี้
ทั้งนี้ ธนาคารมักมีมาตรการช่วยเหลือ หรือ พูดคุยเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกับเรา เช่น การขยายเวลาผ่อนให้นานขึ้น, ลดอัตราดอกเบี้ย หรือปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อลดภาระค่างวดให้ผ่อนต่อไหน
นอกจากนี้อีกวิธีหนึ่งคือ รีไฟแนนซ์ ได้ทั้งธนาคารเดิมหรือธนาคารใหม่ ส่วนใหญ่เราจะทำเพื่อหาเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม แต่ต้องดูรายละเอียดให้ดีว่าสรุปแล้วต้องเสียค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมเท่าไร และเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายธนาคารเพื่อให้คุ้มค่าที่สุดก่อนตัดสินใจ
4. ขายบ้านและเปลี่ยนไปเช่าแทน
ถ้าผ่อนไม่ไหวแล้วจริงๆ การขายบ้านเพื่อนำเงินไปปิดหนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทางออกที่น่าสนใจ แต่วิธีนี้ อาจใช้เวลากว่าจะหาคนมาซื้อบ้านจากเรา ถ้าจะเลือกแผนนี้ต้องเช็กยอดหนี้กับธนาคารให้เรียบร้อยก่อนเสมอ เพื่อคำนวณราคาขายที่เหมาะสม (ขายแล้วเราไม่ควรติดลบกว่าเดิม) และต้องเผื่อระยะเวลาเพื่อหาผู้ซื้อที่ใช่
เมื่อตกลงขายบ้านแล้ว เราต้องนำเงินที่ได้ไปปิดหนี้กับธนาคาร และหากำลังซื้อบ้านหลังใหม่ยังไม่เพียงพอ ก็อาจเลือกเช่าที่อยู่อาศัยไปก่อนจนกว่าเราจะพร้อมเพื่อมีบ้านที่อยากได้
ที่มา : สภาพัฒน์, KTC, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney