
น้ำท่วมหนักในหลายจังหวัดภาคใต้ เช่น สงขลา นครศรีธรรมราช ส่งผลกระทบต่อ 8 แสนครัวเรือน
แม้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่นับว่ารุนแรงมากที่สุดในรอบ 300 ปี แต่ความสะเทือนใจส่งถึงกันทั่วประเทศ สำหรับเหตุการณ์ น้ำท่วมครั้งร้ายแรงสุด ที่ จ.สงขลา ซึ่งหนักมากต่อเนื่อง มาตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน และในอีกหลายจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช, พัทลุง, สุราษฎร์ธานี, นราธิวาส, ปัตตานี, ตรัง, สตูล และยะลา
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างผลกระทบต่อประชาชนรวมแล้วราว 8 แสนครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ พร้อมรายงานข่าวจากบางแหล่ง ที่ระบุว่า แค่เฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ มีคนติดค้างรอการช่วยเหลือนับหลักหมื่นคน โดยที่ยังไม่มีวี่แววว่าปริมาณน้ำในพื้นที่จะลดลง และยังจะต้องเจอกับภาวะฝนตกหนักถึงหนักมากต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือนธันวาคม ภายใต้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ฝนแช่" (Stationary Heavy Rain) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนว่า สภาพอากาศของไทยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ด้าน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำว่า นี่คือผลของปัญหา โลกร้อน อย่างแท้จริง ที่ต้องเร่งตระหนัก เพราะเมืองไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศเสี่ยงน้ำท่วมจากโลกร้อนมากที่สุด และในอนาคต ภัยน้ำท่วมใหญ่จะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิโลก ขณะบทเรียนสำคัญของเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ ยิ่งชัดเจนแล้วว่า การรับมือภัยพิบัติยุคโลกร้อนของไทย ยังห่างไกลจากคำว่า “ดีพอ”
เจาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ “น้ำท่วมภาคใต้” ครานี้ ถูกประเมินโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท หากยืนระยะยาวนาน 1 เดือน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 0.13% ของขนาดเศรษฐกิจประเทศไทย (Nominal GDP) โดยผลกระทบหลักอยู่ที่จังหวัดสงขลา
โดยหลักๆ จะมาจากการหยุดชะงักลงของ โรงแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง และในภาคการผลิตของโรงงานห้างร้านต่างๆ รวมไปถึงการหยุดให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างไฟฟ้าและประปา ความเสียหายที่รุนแรงยังมาจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่เดิมทีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมักจะคึกคักเพราะเป็นฤดูกาลของการท่องเที่ยว
ที่สำคัญยังเป็นไทม์ไลน์ที่ประเทศไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพงานกีฬาซีเกมส์ ช่วง 9-20 ธันวาคม 2568 ซึ่งจังหวัดสงขลาเป็นหนึ่งในสถานที่จัดการแข่งขันหลายประเภทกีฬา นอกจากนี้ ความเสียหายส่วนที่เหลือของสงขลาและในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ผลกระทบจะเป็นภาคเกษตร ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก ยางพาราและปาล์มน้ำมัน รวมถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์น้ำหรือประมง ซึ่งล้วนแต่เป็นภาคการเกษตรที่สำคัญของพื้นที่ภาคใต้
อย่างไรก็ดี น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายแค่ระดับจังหวัด แต่มันกระทบไปยัง กระเป๋าของคนธรรมดา โดยที่ไม่มีตัวเลขไหนสะท้อนออกมาได้ กลายเป็น สถิติที่ไม่เคยถูกนับ เพราะแม้ในระยะข้างหน้า สถานการณ์น้ำท่วมจะทยอยคลี่คลายลง แต่ผู้ประสบภัยยังจะได้รับผลกระทบจากการจัดการความเสียหายของสินทรัพย์ของตัวเองอีกมากมาย
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่านี่คือผลกระทบส่วนที่ 2 ที่ประเมินออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น อาคาร บ้านเรือน รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งการซ่อมแซม/ฟื้นฟู/ซื้อใหม่ คงจะทยอยใช้เวลา และยังต้องขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น เงินออมและความสามารถในการหารายได้ของแต่ละครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจ ความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้และคู่ค้าต่างๆ ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงิน ตลอดจนมาตรการจากภาครัฐ
จะเห็นได้ว่า แม้ตัวเลขความเสียหายหลักแสนล้านบาทจะถูกบันทึกในบัญชีมหภาค แต่สิ่งที่พังทลายอย่างเงียบๆ คือ กระเป๋าเงินของประชาชน ซึ่งต้องแบกรับ “ค่าใช้จ่ายลับ” ที่ไม่เคยปรากฏในรายงานเศรษฐกิจใดๆ เป็นความสูญเสียระดับจุลภาค (Microeconomic Loss) ที่สะท้อนความเจ็บปวดรายวันของคนธรรมดาอย่างแท้จริง ซึ่งพอจะสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มก้อนหลักๆ ได้ดังนี้
1. ค่าซ่อมแซมบ้านให้กลับมาอยู่ได้
ทันทีที่น้ำลด สิ่งแรกที่เจ้าของบ้านต้องเผชิญคือภารกิจฟื้นฟูบ้านเรือนให้กลับมาใช้งานได้ ซึ่งเต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายยิบย่อยแต่จำเป็นเร่งด่วน เช่น ค่าเปลี่ยนฟิวส์และเบรกเกอร์ ที่เสี่ยงต่อการช็อต, ค่าล้างแอร์, ซ่อมปลั๊กไฟ และระบบไฟฟ้าที่จมน้ำ, รวมถึงค่าสารเคมีสำหรับ เช็ดและฆ่าเชื้อบ้าน เพื่อป้องกันเชื้อราและโรคระบาด
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เกิดขึ้นแบบวันต่อวันและมักถูกเจ้าของบ้านจัดการเอง ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ถูกนำไปรวมในการประเมินความเสียหายอย่างเป็นทางการ จึงกลายเป็น Microeconomic Loss หรือ “ความเสียหายที่ไม่เคยถูกบันทึกเพราะเจ้าของบ้านซ่อมเอง” แม้จะรวมกันแล้วเป็นเม็ดเงินมหาศาลก็ตาม
2.ค่าอุปกรณ์ที่ต้องซื้อใหม่ “เงินเฟ้อ” เฉพาะกิจหลังน้ำท่วม
น้ำท่วมมักนำมาซึ่งการสูญเสียสินทรัพย์ที่สำคัญและมีราคาสูง เช่น ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, พัดลม ที่เสียหายจากไฟช็อต หรือ เตียงที่พอง, ฟูกที่ใช้ไม่ได้ เพราะดูดซับน้ำและเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวอย่างเสื้อผ้าและรองเท้าที่ต้องทิ้งไป เมื่อความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้พุ่งสูงขึ้นพร้อมกันในพื้นที่ประสบภัย จะเกิดปรากฏการณ์ “เงินเฟ้อเฉพาะกิจหลังน้ำท่วม” ทำให้สินค้าบางอย่างขาดตลาดชั่วคราวและราคาปรับตัวสูงขึ้น สร้างภาระซ้ำซ้อนให้ครัวเรือนที่กำลังเปราะบางที่สุด
3.ค่าเสียโอกาสรายได้ของคนหาเช้า-กินค่ำ
ความเสียหายที่ร้ายแรงที่สุดคือการหยุดชะงักของ การทำมาหากิน ของกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ ผู้ที่มีรายได้แบบวันต่อวัน เช่น เจ้าของร้านโชห่วยที่ต้องพักกิจการชั่วคราว, คนขับรถรับจ้างหรือไรเดอร์ที่ออกทำงานไม่ได้เพราะเส้นทางถูกตัดขาด, หรือพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ตลาดถูกน้ำท่วม นี่คือ Loss ที่ไม่มีในตัวเลข GDP เพราะไม่ได้ถูกนับเป็นการลงทุนหรือการบริโภคที่ลดลงในระดับมหภาค แต่กระทบถึงความอยู่รอดรายวันของ นับแสนครัวเรือน ในพื้นที่ เพราะเมื่อไม่มีรายได้ ก็ไม่มีเงินสำหรับจับจ่ายใช้สอยเพื่อฟื้นฟูชีวิต
4.ค่าเดินทาง/ค่าอาหารที่พุ่ง
ในภาวะน้ำท่วม การจราจรมักติดขัดหรือต้องเลี่ยงเส้นทาง ทำให้เกิด ค่าเดินทางอ้อม ที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกัน การเข้าถึงอาหารสดทำได้ยากขึ้น ส่งผลให้ครัวเรือนต้องพึ่งพา อาหารสำเร็จรูปหรือข้าวกล่องมากกว่าปกติ ซึ่งมีราคาสูงกว่าการทำอาหารเอง นี่คือการเพิ่มขึ้นของ Cost of Living หรือค่าครองชีพที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นภาระเล็กๆ น้อยๆ แต่เกิดขึ้นทุกวันและต่อเนื่อง ที่มักไม่ได้รับการมองเห็นหรือประเมินค่าจากผู้กำหนดนโยบาย
5.ค่าใช้จ่ายทาง “ใจ - สุขภาพ” ต้นทุนเศรษฐกิจที่มองไม่เห็น
ความเสียหายทางกายภาพ ยังนำมาซึ่งต้นทุนทางเศรษฐกิจที่แปลงมาจากภาวะทางใจและสุขภาพ เช่น ความเครียด และ นอนไม่พอ ที่เกิดจากความกังวลในการฟื้นฟูทรัพย์สิน การขาดแคลนรายได้ และความไม่แน่นอนในอนาคต ความเจ็บป่วยทางจิตใจและร่างกายเหล่านี้อาจนำไปสู่การต้องเข้าถึงบริการสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้คือ ต้นทุนเศรษฐกิจที่มองไม่เห็น ในระยะยาว ทั้งในรูปแบบของผลผลิตที่ลดลงและค่ารักษาพยาบาลที่ตามมา
บทเรียนน้ำท่วมซ้ำซากที่สร้างความเสียหายระดับหมื่นล้านบาท และทำลายความเชื่อมั่นในชีวิตประจำวันของประชาชน ทำให้เราต้องหันกลับมาตั้งคำถามถึง ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการภัยพิบัติของภาครัฐ ว่าเหตุใดปัญหาเดิมๆ จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่สามารถยกระดับการรับมือให้เทียบเท่ากับภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อนได้
ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ระบุสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยเกิดน้ำท่วมซ้ำซากจนก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลไว้ 3 ประการ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องเชิงระบบที่ยังต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ในเมื่อความเสียหายมหาศาลทั้งในมิติทางตรงและ “ค่าใช้จ่ายลับ” ได้ประจักษ์ต่อสาธารณะซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำถาม คือ เมื่อใดที่การบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยจะก้าวข้ามปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสามข้อนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมั่นใจในยุคที่ภัยพิบัติจากโลกร้อนได้กลายเป็น "ความปกติใหม่" ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ.
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , TDRI
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney