น้ำท่วม “บ้าน-รถ” เคลมประกันได้ไหม? อยากได้เงินไวต้องยื่นเอกสารยังไง

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

น้ำท่วม “บ้าน-รถ” เคลมประกันได้ไหม? อยากได้เงินไวต้องยื่นเอกสารยังไง

Date Time: 18 พ.ย. 2568 14:21 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

บ้านและรถยนต์สามารถเคลมประกันได้เมื่อเกิดน้ำท่วม แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขในกรมธรรม์

  • ผู้เอาประกันควรเก็บหลักฐานความเสียหาย เช่น รูปถ่ายและวิดีโอ เพื่อใช้ในการเคลมประกัน
  • ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยบ้านว่าครอบคลุมภัยน้ำท่วมหรือไม่ มี 2 ประเภทหลักคือ ประกันอัคคีภัยพ่วงน้ำท่วม และ ประกัน IAR
  • เมื่อรถยนต์ถูกน้ำท่วม ให้แจ้งบริษัทประกันภัยทันที พร้อมเก็บหลักฐานและทำตามคำแนะนำ
  • คปภ. กำหนดแนวปฏิบัติการจ่ายค่าซ่อมรถยนต์ตามระดับความเสียหายจากน้ำท่วม 5 ระดับ

ตอนนี้หลายคนเจอกับปัญหาน้ำท่วม หรือ “อุทกภัย” ที่สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของเรา ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือรถยนต์ที่จอดไว้

คำถามที่ตามมาคือเมื่อเกิดความเสียหายแล้ว ใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมช่วยเราล่ะ? หนึ่งในสิ่งที่หลายคนนึกถึงคงเป็น “ประกัน” ที่ทำเอาไว้ เพราะนี่คือ “ความคุ้มครอง” ที่เราซื้อเอาไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเช่นนี้

น้ำท่วมบ้าน เคลมได้ไหม ทำยังไงได้บ้าง?

ถ้าถามว่าทรัพย์สินของเราอย่างบ้านและรถจะสามารถเคลมประกันได้ไหมเมื่อเกิดภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัย? คำตอบคือ “ได้” แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของประกันภัยที่เราทำเอาไว้ Thairath Money จะพาผู้อ่านไปดูกันว่าการเคลมประกันฯ ของบ้าน-รถเมื่อถูกน้ำท่วม ต้องรู้อะไร และทำอะไรบ้าง

มาเริ่มกันที่ “บ้าน” เมื่อเกิดน้ำท่วม นอกจากการยกของขึ้นที่สูงแล้ว เราควรเก็บหลักฐานความเสียหายที่เกิดขึ้นเอาไว้ด้วย เพราะสถานการณ์น้ำท่วมอาจลากยาว หรือน้ำลดแล้วร่องรอยพวกนั้นจะหายไปหรือเปล่า

ดังนั้น เราควรเริ่มเก็บหลักฐานไว้เสมอ ตั้งแต่เกิดเหตุ เช่น รูปถ่าย หรือคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นระดับน้ำ และความเสียหาย เพราะคำบอกกล่าวอาจทำให้การเคลมไม่เห็นความเสียหายที่ชัดเจน หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง นอกจากนี้เราอาจใช้เป็นหลักฐานในการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐ เช่น หลังการประกาศภัยพิบัติมีการใช้เงินช่วยเหลือ เป็นต้น

ขั้นตอนต่อมา ให้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันบ้านของตัวเองว่าครอบคลุมภัยน้ำท่วมด้วยหรือเปล่า ซึ่งหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ

1. ประกันอัคคีภัยพ่วงความคุ้มครองน้ำท่วม

คนส่วนใหญ่มักทำประกันภัยบ้านในรูปแบบ “ประกันภัยอัคคีภัย” ส่วนใหญ่อาจแถมความคุ้มครองภัยน้ำท่วมไว้ (ในหมวดภัยพิบัติ) แต่วงเงินความคุ้มครอง หรือ กรณีไหนที่คุ้มครองบ้าง ต้องดูกันที่รายละเอียดในกรมธรรม์ แต่ถ้าไม่มีระบุความคุ้มครองไว้จะไม่สามารถเคลมประกันได้

2. ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินทุกชนิด (IAR)

บางคนที่มีทั้งบ้านและที่ทำงาน (ออฟฟิศ) อยู่ในที่เดียวกัน อาจซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม อย่าง ประกันภัย IAR ที่มีความคุ้มครองต่อหลากหลายด้าน เช่น ความเสียหายต่อทรัพย์สิน ไม่ว่าจะไฟไหม้ น้ำท่วม เจอภัยธรรมชาติ อื่น ๆ, ความหยุดชะงักทางธุรกิจ, ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก เป็นต้น

เคล็ดลับก่อนซื้อประกันภัยบ้าน จึงควรอ่านรายละเอียดความคุ้มครองว่ามีภัยไหนบ้าง และวงเงินความคุ้มครองเพียงพอกับความต้องการของเราหรือไม่ หากไม่พออาจซื้อแพ็กเกจเสริมได้เพิ่มเติมได้ เพราะอย่าลืมว่าถึงจะชื่อว่า “ประกัน” เหมือนกัน แต่เงื่อนไขที่ระบุไว้ในแต่ละกรมธรรม์มีความแตกต่างกันออกไป

เอกสารเคลมประกัน รู้ก่อน ยื่นก่อน

หลังจากเช็กเงื่อนไขประกันภัยของตัวเองแล้ว ควรรีบติดต่อบริษัทประกันภัยโดยเร็วที่สุดผ่านช่องทางที่เราสะดวก เช่น การติดต่อตัวแทนประกันภัย, ช่องทางออนไลน์ของบริษัท, โทรศัพท์ หรือติดต่อที่สำนักงานโดยตรง และหลังจากนั้นให้เตรียมเอกสารให้พร้อม ส่วนมากมักขอหลักฐาน ดังนี้

  • หนังสือคำร้องขอสินไหมทดแทน ที่ระบุรายละเอียดความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
  • หลักฐานอ้างอิงเหตุการณ์ความเสียหาย
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • เอกสารอื่น ๆ ที่บริษัทประกันอาจเรียกขอเพิ่มเติม เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาเอกสารการแสดงความเป็นเจ้าของบ้าน เป็นต้น

น้ำท่วม “รถ” เคลมยังไง?

มาต่อกันที่ส่วนของรถยนต์กรณีที่โดนน้ำท่วมกันบ้าง ปกติแล้วเราจะสามารถยื่นเคลมให้บริษัทประกันภัยมาดูแลได้เลย หลังจากเราตรวจสอบประเภทประกันฯ และความคุ้มครองที่มีอยู่ เบื้องต้นมี 6 ข้อหลัก ๆ ที่เราต้องวางแผนจัดการ ได้แก่

1. เก็บหลักฐาน และบันทึกความเสียหาย เพื่อให้บริษัทประกันฯ ประเมินและตรวจสอบความเสียหายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

2. แจ้งบริษัทประกันภัยทันที พร้อมรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น วันและเวลาที่เกิดเหตุ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม และลักษณะความเสียหายที่พบ

3. ทำตามคำแนะนำของบริษัทประกันฯ เช่น แนะนำให้ลากรถไปยังอู่ซ่อมที่ได้รับการรับรอง เป็นต้น

4. ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองเพิ่มเติม เช่น ค่าลากรถ หรือรถทดแทนระหว่างซ่อม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และความยุ่งยาก

5. หลังซ่อมแซมแล้วควรตรวจสอบความเรียบร้อย โดยเฉพาะระบบไฟและเครื่องยนต์ หากพบปัญหา ให้รีบแจ้งอู่หรือประกันทันที

6. การจ่ายค่าสินไหมตามทุนประกันภัย ในกรณีที่รถเสียหายเกิน 70% บริษัทประกันอาจจ่ายค่าสินไหมให้ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

แต่ถ้าอยากเจาะลึกว่า ความเสียหายระดับไหนประกันภัยต้องจ่ายเงินให้เราเท่าไร ยังมีข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งกำหนดเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่า รถน้ำท่วมระดับไหน ประกันภัยจะจ่ายค่าซ่อมให้เท่าไร โดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท
  • ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000-20,000 บาท
  • ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท
  • ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป
  • ระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้บริษัทจะคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่าประกันภัยนั้นถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างน้ำท่วมได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่เรามีอย่างละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่เราจะสามารถรักษาสิทธิที่ตัวเองจะได้รับจากการทำประกันเอาไว้นั่นเอง


อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ