
ในวันที่โลกเปลี่ยนเร็วเกินคาด ทั้งเศรษฐกิจที่ผันผวน เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด และความเสี่ยงรอบด้านที่เราไม่ทันตั้งตัว คำถามสำคัญของคนทำงานยุคนี้คือ “เราพร้อมแค่ไหน ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่เหมือนเดิม หรือ ถูกเลิกจ้างแบบไม่รู้ตัว”
นั่นคือเหตุผลที่ประเทศไทยจัดงาน World Financial Planning Day 2025 หรือ “วันวางแผนการเงินโลก - การเงินคนไทยต้องรอด” เป็นครั้งแรก พร้อมๆกับ 26 ประเทศทั่วโลก เพื่อสร้างการตระหนักรู้ว่า “การวางแผนทางการเงิน” ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือ ทางรอดของชีวิต
โดย “วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ” นายกสมาคมนักวางแผนการเงินคนแรกของไทย ซึ่งบรรยายเปิดงานในหัวข้อ การเงินคนไทยต้องรอด ระบุว่า ทุกวันนี้ โลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนที่ซับซ้อนที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ตั้งแต่เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวไม่เท่ากันหลังโควิด ภาวะเงินเฟ้อที่บั่นทอนรายได้จริงของคนทำงาน ไปจนถึงการมาถึงของ AI และ Automation ที่กำลังรื้อโครงสร้างตลาดแรงงานทั่วโลก
“หลายธุรกิจซบเซา หลายคนถูกเลิกจ้าง บางคนกลายเป็นหนี้ท่วมตัว แต่มีหลักฐานชัดเจนว่าคนที่วางแผนไว้ จะผ่านพ้นช่วงลำบากได้”
งานนี้ยังสะท้อนความจริงระดับโลกที่น่าคิด ที่ว่ามีคนเพียง 20% เท่านั้น ที่มั่นใจว่าตัวเองมีแผนการเงินที่ดี รับมืออนาคตได้ มีเงินฉุกเฉิน ไม่มีหนี้ มีบ้าน มีแผนเกษียณ และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ ขณะที่อีก 80% ของประชากรทั่วโลก ยอมรับว่า พวกเขาไม่มีแผนทางการเงินใดๆ เลย ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวนทุกไตรมาส เทคโนโลยีเปลี่ยนทุกเดือน และงานที่มั่นคงกลายเป็นของหายาก
นั่นเอง จึงทำให้การวางแผนทางการเงินจึงไม่ใช่เรื่องของ “ยอดเงินในบัญชี” หรือ “ตัวเลขในแอป” อีกต่อไป แต่คือ สะพานที่เชื่อมชีวิตให้ก้าวข้ามความเสี่ยง และไปสู่ความมั่นคงได้ และการเริ่มต้นที่แท้จริง ของการวางแผนทางการเงิน อาจไม่ได้เริ่มจากหุ้น กองทุน หรืออสังหาฯ แต่ “วิวรรณ” แนะว่า ต้องเริ่มจาก การลงทุนในตัวเอง ผ่านการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะใหม่ๆ และการเป็น “น้ำครึ่งแก้ว” ที่พร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต
เพราะเมื่อเรามีความรู้และทักษะที่ทันสมัย เราจะมี “ต้นทุนชีวิต” ที่ดีขึ้น สามารถต่อยอดสู่การหารายได้ และเริ่มวางแผนทางการเงินได้อย่างมั่นคงมากขึ้น อย่างไรก็ดี “ความรู้” เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ หากปราศจาก “ทัศนคติที่ดี” ต่อการใช้เงิน เพราะเป้าหมายของการวางแผนการเงิน ไม่ใช่เงิน แต่คือ การบรรลุเป้าหมายในชีวิต เช่น ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้ ,เก็บเงินอย่างมีเป้าหมาย และอย่าเป็นทาสของวัตถุหรือเงินตรา เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจซื้อความสะดวกได้ แต่ซื้อความสุขที่แท้จริงไม่ได้
ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากังวลคือ “การเกษียณ” ในยุคนี้ ไม่ได้มาพร้อมอายุ 55 หรือ 60 ปี อีกต่อไป แต่กำลัง “มาเร็วขึ้น” โดยที่คนทำงานส่วนใหญ่ไม่ทันตั้งตัว ดั่งที่ปรากฎเป็นข่าวก่อนหน้าที่หลายภาคธุรกิจ พยายามลดต้นทุน และเปิดโครงการเออร์ลี่รีไทร์ ให้พนักงานอายุ 45+ ทั้งที่ยังมีภาระทางบ้าน ต้องส่งลูกเรียน ต้องผ่อนบ้าน และยังห่างไกลจากคำว่า “พร้อมเกษียณ” แต่กลับต้องเผชิญ “การเกษียณก่อนเวลา” โดยจำใจ ไม่ใช่โดยเลือก
ในประเด็นนี้ บนเวทีเสวนา “ตั้งใจ หรือจำใจ เกษียณตอน 45 จะรอดไหม?” ผู้เชี่ยวชาญชี้ตรงกันว่า เวลาของคนทำงานในการ “สร้างทุนเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณ” สั้นลงอย่างน่ากังวล
“ดารณี แซ่จู” ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บ ริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อธิบายว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนไทยไม่มีเงินออม แต่คือ ออมแบบไม่พอ และออมแบบไม่วางแผน เพราะข้อมูลสำรวจที่พบว่า แม้ 91.5% ของคนไทยจะตอบว่ามีเงินออม แต่มีเพียง 23.7% เท่านั้นที่มีเงินออมฉุกเฉินพออยู่ได้ 6 เดือน และไม่ถึง 2 ใน 10 คนที่มีแผนเกษียณชัดเจนและทำได้จริง
พร้อมกันนั้น หนี้ครัวเรือนไทยยังพุ่งสูงแตะ 87.4% ต่อจีดีพี เฉลี่ยเกิน 4 แสนบาทต่อคน และส่วนใหญ่เป็น “หนี้ไม่ก่อรายได้” นั่นหมายความว่า ต่อให้ถึงวัยเกษียณ ก็ยังต้องใช้เงินไปชำระหนี้เก่า แทนที่จะใช้เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ
ทั้งนี้ สิ่งที่ ธปท.พยายามผลักดัน “ทักษะทางการเงิน” ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน จนถึงที่ทำงาน เช่น โครงการ “ครูสตางค์” หรือการสอนวางแผนการเงินในองค์กร เพราะความรู้ทางการเงินคือวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันหนี้
ขณะที่ “อาชินี ปัทมะสุคนธ์” ผู้ช่วยเลขาธิการสายสื่อสารองค์กร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ย้ำว่า คำว่าเกษียณเร็ว จะตั้งใจหรือจำใจก็ตาม ล้วนต้องมีแผนรองรับเสมอ เพราะยิ่งอยากเกษียณเร็วเท่าไร ก็ต้องเตรียมเงินก้อนให้มากและเร็วขึ้นเท่านั้น
เธอยกตัวอย่าง “นายเอ” อายุ 22 ปี อยากเกษียณตอนอายุ 45 เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 บาท ออม 15% ต่อปี สมมุติรายได้เพิ่มปีละ 5% หากวางแผนตั้งแต่วันแรก และลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสม โอกาสเกษียณได้จริง ยังมี แต่ถ้าเริ่มช้า แม้แต่เวลา 23 ปีก็อาจไม่พอ
ด้าน “พรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา” รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานทรัพยากรบุคคลและพัฒนาองค์กร (Chief People Officer) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้ว่า อีกหนึ่งปัญหาของคนไทย คือ บางคนเก็บเงินได้ แต่ดูแลเงินไม่เป็น เพราะ คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า เกษียณแล้วทุกอย่างจบ แต่ในความจริง ช่วงหลังเกษียณคือเวลาที่ต้อง “บริหารเงินก้อน” อย่างรอบคอบที่สุด เพราะเงินที่สะสมมาทั้งชีวิตอาจหมดในเวลาไม่กี่ปี หากใช้โดยไม่มีแผน
สำหรับมนุษย์เงินเดือน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้รอดตอนเกษียณแต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ “สิทธิประโยชน์ภาษี” และ “ทางเลือกหลังลาออก” ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงในอนาคตโดยตรง เช่น
ตลาดหลักทรัพย์ยังพัฒนาเครื่องมือช่วยคำนวณ เช่น แอป Happy Money และ โปรแกรมคำนวณเงินออมเพื่อเกษียณ ที่ช่วยให้เห็นภาพเป้าหมายทางการเงินได้ชัดขึ้น
สุดท้าย จะเห็นได้ว่า จากบทเรียนบนเวที “วันวางแผนการเงินโลก” ครั้งแรกในประเทศไทยสิ่งที่ชัดที่สุดคือ เรารอไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยเริ่มทำงาน วัยกลางคน หรือใกล้เกษียณ ทุกคนต้องมี “แผน” ที่ชัดเจนกับเงินของตัวเอง เพราะในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน การมี “แผนทางการเงิน” คือ ความแน่นอนเพียงไม่กี่อย่างที่เราสร้างได้ด้วยตัวเอง
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney