
“เปลี่ยนนายกฯ นโยบายของรัฐบาลเก่าจะยังไปต่อไหม?”
คำถามนี้เกิดขึ้นมาในโซเชียลมีเดียมากมาย หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งทำให้ชาวไทยหลายคนสงสัยว่าโครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทยในชุดก่อนหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะ “โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
สาเหตุที่หลายคนสนใจเรื่องนี้ก็เพราะปัจจุบันค่าเดินทางคนไทยสูงมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ เช่น บางคนจ่ายค่าโดยสารไปกลับวันละ 124 บาท หรือเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ขั้นต่ำที่อยู่ 337 - 400 บาท/วัน
เรียกว่าถ้าต้องใช้ชีวิต 1 วันในกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายก็อาจช่วยได้บ้าง แต่ถ้านโยบายนี้ถูกพับเก็บไปล่ะ คนไทยจะมีวิธีไหนอีกบ้างที่จะช่วยประหยัดค่าเดินทาง?
รถไฟฟ้าของไทยเริ่มกระจายไปทั่วกรุง ใครๆ ก็อยากลองใช้ แต่ปัญหาคือแม้เส้นทางที่ขยายขึ้น “ราคา” ค่าโดยสารก็แพงขึ้นไปด้วย ใน 1 วัน อาจใช้เงินหลักร้อยบาทเลย ซึ่งถ้าถามว่าต้นตอของเรื่องนี้เกิดจากอะไร?
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เล่าไว้ 3 สาเหตุ 1) สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าไทยมีหลายแบบ แต่มีเงื่อนไขต่างกันทำให้มีการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ขาดการคิดในภาพรวม 2) การกำหนดค่าโดยสารด้วยต้นทุนจัดหารายได้ทางอื่นเป็นสัดส่วนที่น้อย ประเทศอื่นๆ ค่าตั๋วจะมีส่วนรายได้โฆษณา ค่าเช่าที่ ฯลฯ มาช่วยไว้ 3) การกำหนดเพดานค่าโดยสารที่สูงเกินไป เช่น สายสีน้ำเงินตั้งเพดานราคาเท่ากับค่าโดยสารจำนวน 12 สถานี แต่กลับมีคนส่วนใหญ่นั่งไม่ถึง 12 ป้ายคนกลุ่มนี้ก็อาจต้องจ่ายแพงกว่า
ล่าสุดที่เราต่างลุ้นกันว่าจะได้ใช้ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจุดเริ่มต้นอาจมาจากแนวคิดว่า ไม่ว่าคนไทยจะเดินทางสาธารณะด้วยอะไร เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ฯลฯ ค่าโดยสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ควรสูงเกินไปจนกระทบการใช้ชีวิตของเรา
ดังนั้น มีหนึ่งแนวคิดที่อาจช่วยเรื่องนี้ได้ โดย ทีดีอาร์ไอ เล่าถึง “ค่าโดยสารร่วม” ว่าจะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มาก เพราะจะกำหนดโครงสร้างค่าโดยสารที่เหมาะสม ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นอกจากจะจำกัดว่าเดินทางตลอดสายต้องจ่ายเท่าไร เราในฐานะคนใช้ยังเหมือนได้ส่วนลดค่าแรกเข้า (15-17 บาท) ของ รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที รถไฟฟ้าบีทีเอส และอื่นๆ ไปอีกด้วย
ในต่างประเทศโมเดล “ค่าโดยสารร่วม” ยังมีใช้อีกหลายแบบ เช่น เมืองลอนดอนในประเทศอังกฤษ กำหนดเพดานค่าโดยสารรายวัน เช่น กรณีรถประจำทางและรถราง แต่ละวันจะตั้งไว้สูงสุดที่ 5.25 ปอนด์อังกฤษ (ราว 226 บาท) ไม่ว่าเราจะขึ้น-ลงรถกี่ครั้ง นั่งรถกี่รอบก็จ่ายสูงสุดที่ราคานี้ และยังมีรายสัปดาห์ ราคาอยู่ที่ 24.70 ปอนด์อังกฤษ (ราว 1,061 บาท)
ถ้าประเทศไทยได้นำแนวนี้มาปรับใช้ หรือเริ่มใช้จริงๆ บ้าง อาจช่วยแก้ปัญหาเรื่องค่าโดยสารที่คนไทยกำลังแบกรับให้ลดลงได้ ว่าแต่ถ้ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายไม่เกิด แต่ถ้าเราต้องประหยัดวันนี้! มีตัวเลือกอะไรให้เราปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้บ้าง
1. บัตรเดินทางบีทีเอส Xtreme Savings
หลังจากที่มีการเรียกร้องให้รถไฟฟ้าบีทีเอสกลับมาขายบัตรรายเดือนที่เคยถูกยกเลิกขายในปี 64 ล่าสุด บีทีเอสประกาศว่าจะนำแพ็กเกจแบบเหมาเที่ยวเดินทาง Xtreme Savings กลับมาขายอีกครั้งในวันที่ 11 กันยายน ปี 68 - 31 มีนาคม ปี 69 เพื่อช่วยให้คนไทยประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
โดยราคาของแพ็กเกจจะแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1.1. แพ็กเกจอายุใช้งาน 30 วัน มีราคาคือ
- ราคา 570 บาท (15 เที่ยว)
- ราคา 900 บาท (25 เที่ยว)
- ราคา 1,190 บาท (35 เที่ยว)
- ราคา 465 บาท (15 เที่ยว)
- ราคา 725 บาท (25 เที่ยว)
- ราคา 945 บาท (35 เที่ยว)
1.2. แพ็กเกจอายุใช้งาน 60 วัน จะมีจำนวนเดินทาง 10 เที่ยวเท่านั้น โดยมีราคาคือ
นอกจากนี้ หลายคนยังตั้งคำถามถึง รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ทีว่าจะกลับมาขายบัตรรายเดือน หรือ ตั๋วเที่ยวเมื่อไร ซึ่งต้องติดตามกันต่อว่าจะตอบสนองต่อการเรียกร้องในครั้งนี้อย่างไร
2. บัตรรายเดือน/รายสัปดาห์ ของรถเมล์
นอกจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแล้ว รถโดยสารประจำทางหรือรถเมล์ เราก็ประหยัดขึ้นได้ถ้าใช้ตั๋วรายสัปดาห์หรือรายเดือน เราแบ่งเป็นรถเมล์ 2 บริษัท
1. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มีบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ (แบบเหมาจ่าย) ประเภทรายสัปดาห์และรายเดือน ได้แก่
รายเดือน : รถโดยสารปรับอากาศ ราคา 1,020 บาท, รถโดยสารธรรมดา ราคา 480 บาท
รายสัปดาห์ : รถโดยสารปรับอากาศ ราคา 255 บาท, รถโดยสารธรรมดา ราคา 120 บาท
รายเดือน : รถโดยสารปรับอากาศ ราคา 540 บาท, รถโดยสารธรรมดา ราคา 270 บาท
รายเดือน : รถโดยสารปรับอากาศ ราคา 270 บาท, รถโดยสารธรรมดา ราคา 135 บาท
และ 2. บริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป ที่มีบัตร HOP Card ซึ่งเป็นการเหมาจ่ายแบบ Daily Max Fare ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จะขึ้นรถต่อเรือก็จ่ายสูงสุดไม่เกิน 50 บาทต่อวัน แบ่งเป็น
- การใช้บริการรถเมล์ของไทย สมายล์บัส อัตราค่าโดยสารสูงสุด 40 บาทต่อวัน
- ถ้าใช้บริการรถเมล์ของไทย สมายล์บัสและเรือไทย สมายล์ โบ้ท อัตราค่าโดยสารสูงสุด 50 บาทต่อวัน
การเดินทางกับคนไทยเป็นของคู่กัน ยิ่งวัยทำงาน วัยเรียนค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็คือค่าเดินทาง แต่ถ้าเราวางแผนก่อนว่าจะใช้กับอะไร เลือกเดินทางด้วยรถอะไร เราอาจจะวางแผนได้ว่าจะใช้ตั๋วเหมาๆ เพื่อประหยัดได้มากขึ้น
เมื่อในระดับบุคคลเราทำดีที่สุดแล้ว คงต้องติดตามว่านโยบายของรัฐบาลจะให้ความสำคัญปัญหาที่คนไทยต้องเผชิญมาหลายสิบปีนี้อย่างไร
หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนที่ 42.981 บาทต่อปอนด์อังกฤษ
ที่มา: TDRI [1] [2] รถไฟฟ้าบีทีเอส [1] [2], ไทยสมายล์บัส, องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney