
ภาษี หรือเงินที่รัฐจัดเก็บจากประชาชนและผู้ประกอบการเพื่อนำไปพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อไป และหากพูดถึงภาษี หลายคนอาจนึกถึงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่รู้ไหมว่า บนโลกนี้ยังมีภาษีแปลก ๆ ที่น่าสนใจอยู่อีกมากมายโดยที่หลายคนอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน
Thairath Money จะพาทุกคนไปรู้จัก 6 ภาษีแปลกบนโลกนี้ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งที่ยกเลิกการใช้ไปแล้ว, ยังใช้อยู่ และกำลังเริ่มใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนี้
มาเริ่มกันที่ “ภาษีผายลม และ เรอ ของวัว-หมู” ในประเทศเดนมาร์ก ที่จะเริ่มเก็บอัตราภาษีนี้ในปี 2030 โดยจุดประสงค์หลักของการเก็บภาษีในครั้งนี้นั้นคือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำเกษตรกรรมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยเกษตรกรจะต้องจ่าย 300 โครเนอร์ (ราว 34 ปอนด์ หรือ 1,475 บาท) ต่อก๊าซมีเทน 1 ตัน และอาจมีการปรับเพิ่มการเก็บภาษีเป็น 750 โครเนอร์ (ราว 55 ปอนด์ หรือ 2,387 บาท) ในปี 2035
มาต่อกันที่ภาษีของประเทศไทยกันบ้าง นับตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ ไทยเริ่มใช้ภาษีความหวานในเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งจะทยอยปรับอัตราภาษีขึ้น มาถึงตอนนี้ไทยเข้าสู่เฟส 4 กันแล้ว โดย 1 เม.ย. 2025 กรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาล ระยะที่ 4 คือ
การออกอัตราภาษีนี้เป็นเหตุผลด้านสุขภาพที่อยากให้คนไทยลดการกินน้ำตาลลง แต่คำถามคือ คนไทยบริโภคน้ำตาลลดลงจริงไหมในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา
และอีกหนึ่งภาษีที่น่าสนใจไม่แพ้สองข้อแรก คือ ภาษีตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งเป็นกฎจากประเทศจีนที่พยายามรณรงค์และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะการผลิตตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งนั้น ต้องแลกมากับการตัดต้นไม้ในประเทศ เช่น การผลิตตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง ประมาณ 4.5 หมื่นล้านคู่ต่อปี อาจหมายถึงต้องตัดต้นไม้ราว 25 ล้านต้น!
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ประเทศจีนมีการประกาศเก็บอัตราภาษี 5% จากตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง (อาจรวมถึงผลิตภัณฑ์ไม้อื่นๆ เช่น วัสดุทำพื้นไม้, เรือยอร์ช ฯลฯ) โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2006 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีประกาศยกเลิกออกมา
พูดถึงภาษีที่มีทั้งเริ่มใช้แล้วและกำลังเริ่มในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มาย้อนดูภาษีในอดีตกันบ้างว่ามีอะไรที่แปลกและน่าสนใจบ้าง เริ่มกันที่เรื่องของกิน ใครจะคิดว่าแม้แต่อาหารประเภท Junk Food ก็กลายเป็นภาษีได้ โดยในปี 2016 รัฐเกรละ (Kerala) ของประเทศอินเดีย เริ่มใช้อัตราภาษีไขมันเป็นรัฐแรก (เริ่มใช้เมื่อ ม.ค. 2016) เพราะมีจำนวนคนที่ป่วยด้วยโรคอ้วนมากที่สุดรองจากรัฐปัญจาบ (Punjab)
สาเหตุเพราะประเทศอินเดียช่วงนั้นพยายามที่จะลดปัญหาเรื่องประชาชนบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และเสี่ยงกระทบต่อสุขภาพ เช่น พิซซา เบอร์เกอร์ ไปจนถึงโดนัท ที่ขายตามร้านอาหารจานด่วนเชนใหญ่ๆ โดยการเก็บภาษีสูงถึง 14.5% แต่อัตราภาษีนี้ก็ถูกยกเลิกไปในช่วงสิ้นปี 2017
ภาษีถัดไปที่เรากำลังพูดถึงนั้นหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่ครั้งหนึ่งสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นจริงในประเทศรัสเซีย ย้อนกลับไปเมื่อปีค.ศ. 1698 ปีเตอร์มหาราช ต้องการให้ประเทศดู “ทันสมัย” มากขึ้นซึ่งในยุคนั้นฝั่งยุโรปนิยมโกนหนวด-เครา จึงได้ออกกฎใหม่ให้คนที่อยากไว้เครานั้นต้องเสียภาษี
ถ้าขุนนางหรือพ่อค้า อยากไว้เคราอาจต้องจ่ายภาษีมากถึง 100 รูเบิลรัสเซีย (ราว 39.43 บาท) ขณะที่ชาวนาเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อย และในยุคนั้นไม่ใช่แค่จ่ายภาษีแล้วจบ แต่ยังต้องพกเหรียญยืนยันว่าสามารถไว้เคราได้
แต่สุดท้ายภาษีนี้ก็ถูกยกเลิกไปในปีค.ศ. 1772
และสุดท้าย หากใครที่เคยไปเที่ยวประเทศอังกฤษมาก่อนคงรู้สึกแปลกตาไม่น้อยที่บ้านบางหลังมีช่องสำหรับหน้าต่างแต่กลับถูกปิดเอาไว้ด้วยอิฐ หรือปูนปลาสเตอร์ นั่นเป็นเพราะในปีค.ศ. 1696 กษัตริย์วิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษได้มีการเรียกเก็บภาษีหน้าต่าง (The Window Tax) โดยช่วงเริ่มต้นออกกฎว่า หากบ้านหลังไหนมีหน้าต่างเกิน 10 บาน จะต้องเสียภาษีเริ่มต้นที่ 2 ชิลลิง/หลัง หรือราว 13.98 ปอนด์ในปี 2019 (ราว 605.55 บาท) เพราะเชื่อว่าบ้านหลังไหนที่มีหน้าต่างเยอะนั้นแปลว่าบ้านหลังนั้นรวย
ทว่า การเรียกเก็บภาษีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีหลายบ้านที่พยายามเลี่ยงการจ่ายภาษีด้วยการปิดกั้นหน้าต่างด้วยอิฐหรือปูนปลาสเตอร์ก่อนจะทาสีทับ เพื่อให้ดูจากภายนอกแล้วไม่มีบานหน้าต่าง แต่เมื่อคนต้องอยู่ในบ้านที่มืดลงและแสงส่องถึงน้อยลง จนมีคนเล่าว่ารู้สึกเหมือน “ถูกปล้นแสงแดด” (Daylight robbery)
หลังจากที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เยอะเกี่ยวกับอัตราภาษีนี้ ในที่สุดปีค.ศ. 1851 ภาษีหน้าต่างก็ถูกยกเลิกไปอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม Thairath Money เชื่อว่าเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนคงจะได้เห็นอีกมุมของ ‘ภาษี’ ที่อยู่ในโลกนี้ ซึ่งอาจมีทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จักปนกันไป เพราะนอกจากภาษีทั้ง 6 อย่างที่กล่าวไปในบทความนั้นแล้วยังมีภาษีอีกมากมายรอให้เราไปทำความรู้จัก และอาจจะต้องรอติดตามต่อไปว่าจะมีภาษี “แปลกๆ” แบบใหม่มาอีกหรือไม่ในอนาคต
หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.08 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และ 43.42 บาทต่อปอนด์
ที่มา : Thairath Money รวบรวม
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney