
“เราต้องยอมรับว่าชีวิตเราผูกติดกับเงินตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเงิน ไปจนถึงอนาคตที่เหลืออยู่ของเราด้วย ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องเงินในหลาย ๆ มิติ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก”
นาโอมิ ธนัชภรณ์ นิชิยาม่า Content Creator, Financial Influencer และนักลงทุน ขึ้นกล่าวบนเวที “Thairath Money Campus Tour 2025” ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ งานที่รวมตัวทั้งผู้เชี่ยวชาญและคนสำคัญมาให้ความรู้ทางด้านการเงิน ซึ่งในช่วง “FinFlu กูรูสอนน้อง” นาโอมิก็ได้มาเล่าถึงเส้นทางการจัดการเงินในแบบฉบับนาโอมิเองที่ผ่านมาทั้งร้อนและหนาว
ชีวิตเราผูกติดกับการเงินในด้านใดบ้าง?
แน่นอนว่าเมื่อเริ่มต้นลืมตาตื่นมา สิ่งที่ทุกคนทำกันได้อย่างเชี่ยวชาญนั่นคือ “การใช้เงิน” ซึ่งคนที่ใช้เงินก็จะต้องรู้ว่าเราจะ “จัดการการเงิน” ของเราเองยังไงให้อยู่ได้โดยไม่ลำบากและไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่าย และอีกสิ่งที่ทุกคนต้องทำแน่ ๆ หากต้องการจะใช้เงิน นั่นก็คือ “การหาเงิน”
สำหรับการหาเงินนั้น นาโอมิ ได้มาแลกเปลี่ยนไว้ว่า มันมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่
“ทั้ง 2 อย่างนี้เราเรียกได้ว่าเป็นยานพาหนะ ที่เราจะต้องแสวงหามา และใช้ขับเคลื่อนไปสู่จุดหมาย นั่นคืออิสรภาพทางการเงิน” นาโอมิกล่าว
สำหรับ “อิสรภาพทางการเงิน” สำหรับนาโอมินั้น คือ “อิสรภาพทางจิตใจ” หรือกล่าวคือ มันไม่ใช่การมีเงินมหาศาล แต่คือการที่เราสามารถใช้เงินเพื่อตอบสนองปัจจัย 4 ทั้งสิ่งที่จำเป็นและสิ่งที่ต้องการได้ โดยไม่ต้องมานั่งกังวล
“มันคือความสบายใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน แค่รู้ว่าเราต้องการอะไร และมีพอสำหรับความต้องการนั้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต” นาโอมิกล่าว
บนเวทีนาโอมิมีโอกาสได้พูดคุยถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองในเรื่องของการเงินและการลงทุน ซึ่งเธอเรียกมันว่าเป็น “บทเรียนราคาแพง” โดยเล่าให้น้องที่มาร่วมงานที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นหา Active Income ไปจนถึงการสร้าง Passive Income และการสูญเสียที่ไม่เคยลืม
จุดเริ่มต้น: คนที่เชื่อใน Active Income สุดหัวใจ
นาโอมิเล่าย้อนว่า เธอเป็นคนที่เชื่อมั่นใน Active Income อย่างมาก เพราะพื้นฐานครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย อาศัยอยู่กับคุณแม่ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลยรู้สึกว่าต้องทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระท่าน จึงเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งเป็นงานที่ใช้แรงงานจริง ๆ คือเป็นพนักงานร้านอาหาร
ทำให้ตอนนั้นทั้งเรียนไปด้วยทั้งทำงานไปด้วย เลยทำให้รู้สึกเหนื่อยมากจนเกิดคำถามว่า “ทำไมเราเหนื่อยขนาดนี้ แต่ผลตอบแทนได้แค่นี้เอง?” ความรู้สึกไม่พอใจนี้เองที่ทำให้เริ่มมองหาหนทางต่อยอดเงินเก็บที่มีอยู่
ก้าวแรกสู่ Passive Income: ความเสี่ยงต่ำ แต่หวังผลตอบแทนสูง
หลังจากนั้นเมื่อเริ่มมีเงินเก็บ เลยเริ่มมองหาการลงทุนโดยมีโจทย์ให้กับตัวเองว่า “เงินต้นที่มีต้องห้ามหายเด็ดขาด” เพราะเป็นเงินที่หามาอย่างยากลำบาก “แต่อยากให้มันเติบโตด้วย” เธอจึงเริ่มต้นลงทุนในสินทรัพย์ 2 อย่าง ได้แก่
เริ่มทำกำไร: กองทุนและหุ้นไทย
หลังจากที่ค้นพบว่า ตัวเองต้องการที่จะลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ อีกที่ให้ผลตอบแทนได้เร็ว ๆ เลยหันมาลงทุนในสินทรัพย์ อีก 2 แบบ ได้แก่
จุดพลิกผัน: ตลาดคริปโตฯ
หลังจากกำลังใจมาเต็มเปี่ยมจากการทำกำไรได้ในตลาดหุ้น นาโอมิเลยเริ่มมาศึกษาและลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่
“ตอนที่เข้าไปเป็นช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นแบบสุด ๆ ซื้ออะไรก็กำไร จนรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องมี Active Income แล้วก็ได้มั้ง แค่เทรดคริปโตฯ ทุกวันก็มีรายได้มากกว่าที่ทำงานทั้งเดือนแล้ว” นาโอมิกล่าว
แต่หลังจากนั้น ความมั่นใจและการไม่ศึกษาความเสี่ยงก็นำไปสู่บทเรียนราคาแพง… นาโอมิเล่าว่า เลยหันไปเข้าสู่ตลาด Leverage หรือ Futures ซึ่งเป็นการเทรดที่ใช้ Leverage ทำให้สามารถทำกำไรได้มหาศาลโดยใช้เงินต้นไม่มาก แต่ในทางกลับกัน มันก็มีจุด Liquidate คือจุดที่ถ้าราคาลงมาถึง เงินทั้งหมดในพอร์ตที่ใช้ค้ำประกันจะหายไปในพริบตา
“ด้วยความมั่นใจเกินร้อย เราเลยคิดว่า เงินในพอร์ตเราเยอะ ยังไงราคาก็ไม่มีทางลงมาถึงจุด Liquidate หรอก เลยไม่ได้ตั้ง Stop Loss หรือจุดตัดขาดทุนเลย เพราะความเชื่อมั่นว่าเดี๋ยวมันก็เด้งกลับขึ้นไป” นาโอมิเล่าบนเวที
แล้ววันนั้นก็มาถึง...
เช้ามืดวันหนึ่ง นาโอมิเล่าว่า เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาตามปกติแล้วหยิบมือถือมาดูแอปฯ เทรด สิ่งที่เห็นคือ เลข 0 เธอกล่าวว่า “ตอนนั้นตกใจมาก คิดว่าแอปฯ อาจจะรวน เลยลบแล้วลงใหม่ แต่พอกลับเข้าไปอีกครั้ง ตัวเลขมันไม่ใช่ 0 แต่กลายเป็นติดลบ”
ผลสรุปที่ได้คือ คืนนั้นมีข่าวร้ายเกิดขึ้นในตลาด ทำให้กราฟดิ่งลงมาเป็นเส้นตรง จนแตะจุด Liquidate พอดี “เงินทั้งหมดในพอร์ต ทั้งเงินต้น ทั้งกำไรจากหุ้นและคริปโตฯ ที่ปั้นมา หายไปทั้งหมดในคืนเดียว และที่เจ็บใจที่สุดคือ พอแตะจุด Liquidate นั้นเสร็จ กราฟก็เด้งกลับขึ้นไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
นาโอมิ เล่าต่อว่า วินาทีนั้นช็อกและถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าทำไม? คอยแต่โทษตลาด จนสุดท้ายก็เข้าใจว่าสิ่งที่ควรโทษไม่ใช่ตลาด แต่คือ “ตัวเราเอง”
“ตัวเราเองที่ไม่ควบคุมความเสี่ยง ตัวเราเองที่หวังจะรวยเร็ว ตัวเราเองที่ประมาทและมั่นใจเกินไป มันเหมือนการเดินเข้าสู่สนามรบโดยใส่แค่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ในขณะที่คนอื่นมีทั้งเกราะและดาบ” นาโอมิกล่าว
แต่สิ่งที่ทำให้นาโอมิยังลุกกลับขึ้นมาได้ คือ “การจัดการการเงินที่ดี” ที่ทำมาตลอด ทั้งการแบ่งเงินเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน ค่าใช้จ่าย เงินออมฉุกเฉิน และเงินลงทุน ซึ่งสิ่งนี้เป็นผลดีที่ต่อมาเมื่อพอร์ตลงทุนล้ม แต่มันกลับไม่ได้กระทบกับชีวิตประจำวันของนาโอมิเลย ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และสามารถเริ่มต้นใหม่ได้
นาโอมิ ทิ้งท้ายส่งข้อความถึงน้อง ๆ ด้วยว่า “สิ่งที่อยากฝากถึงน้อง ๆ คือ จงให้ความสำคัญกับทั้ง Active และ Passive Income ทั้งสองสิ่งนี้ควรทำควบคู่กันไป อย่าทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น”
“อย่าหวังรวยเร็ว เพราะการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงปรี๊ดในเวลาอันสั้น มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากเช่นกัน ให้มองหาการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาวดีกว่า”
“วางแผนและตั้งเป้าหมาย โดยถามตัวเองว่า อิสรภาพทางการเงินในแบบของเราคืออะไร แล้ววางแผนการทำงานและการลงทุนเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น”
และสุดท้ายฝากไว้ว่า “ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี น้อง ๆ ยังมีเวลาอีกมาก การเริ่มต้นวางแผนการเงินและการลงทุนตั้งแต่วันนี้ คือข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุด”
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney