
นาทีนี้ความเคลื่อนไหวการเมืองไทย คงไม่มีใครร้อนแรงเท่า "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กลายเป็นที่จับตาเส้นทางการเมืองหลังจากนี้ หลังพรรคประชาชน (ปชน.) มีมติยกมือให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 พร้อมเงื่อนไขต่างๆ ที่พรรคประชาชนกำหนดไว้ อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาภายใน 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนรู้จัก อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนักการเมือง แต่เขายังมีการลงทุนทั้งในและนอกตลาดหุ้น และวางโครงสร้างการบริหารทรัพย์สินไว้อย่างเป็นระบบ ท่ามกลางสปอตไลต์ทางการเมืองที่กำลังจับจ้อง Thairath Money ชวนส่องขุมทรัพย์และความมั่งคั่งนับ 4 พันล้านบาท
จากข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่อนุทิน ชาญวีรกูล ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 พบว่าอนุทินมีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 4.37 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งตอนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ปี 2562 จำนวน 4.24 พันล้านบาท (ไม่มีคู่สมรส) มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น
ทรัพย์สินส่วนใหญ่ประกอบด้วย
นอกจากนี้ ข้อมูล ปปช. ปี 2566 ระบุว่า อนุทิน ยังมีสิทธิและสัมปทาน 1.25 พันล้านบาท ทรัพย์สินอื่น 210,040,000 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 14,592,154 บาท เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 215,424 บาท หนี้สินมีหลักฐานเป็นหนังสือ 14,376,730 บาท
หากเจาะลึกข้อมูล "เงินลงทุน" มูลค่ากว่า 721 ล้านบาท ทั้งหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์อีกหลายแห่ง และที่น่าสนใจคือรายการ "เงินให้กู้ยืม" มูลค่ากว่า 159 ล้านบาท ซึ่งปล่อยกู้ให้กับบริษัทในเครือ เช่น บมจ.ซิโน-ไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ และ บจก.เพอร์เพชวล พรอสเพอริตี้ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว
หนึ่งในการลงทุนในบริษัทในตลาดหุ้น ที่ปรากฎชื่อของ อนุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น STPI มาร์เก็ตแคปกว่า 7.35 พันล้านบาท โดยมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 หลังได้รับโอนหุ้น STPI กลับเข้าพอร์ต จากบลจ.เกียรตินาคินภัทร จำนวน 178.30 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 9.84% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หลังพ้นตำแหน่ง รมว.มหาดไทย
หนึ่งในเรื่องที่หลายคนจดจำอนุทินในแวดวงตลาดหุ้นคือ การเป็นอดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC (ชื่อเดิม) อาณาจักรรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทยที่ครอบครัวชาญวีรกูลเป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งปัจจุบันคือ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น STECON
อย่างไรก็ตาม อนุทิน ได้ขายหุ้นที่ถือในนามส่วนตัวทั้งหมดจำนวนกว่า 71.5 ล้านหุ้น (คิดเป็น 4.69% ณ เวลานั้น) ออกไปในช่วงวันที่ 2-3 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายการจัดการหุ้นของรัฐมนตรี
แม้จะไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง แต่ตระกูล "ชาญวีรกูล" ยังคงกุมอำนาจใน STEC ผ่านโครงสร้างการถือหุ้นที่ซับซ้อน โดยมี บริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ จำกัด เป็น "บริษัทโฮลดิ้ง" ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนต่างๆ เช่น
โดยบริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ มีบุตรชายและบุตรสาวของอนุทิน คือ เศรณี และ นัยน์ภัค ชาญวีรกูล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สะท้อนให้เห็นถึงการวางรากฐานและส่งต่อธุรกิจสู่ทายาทรุ่นต่อไปอย่างชัดเจน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นภาพความมั่งคั่งของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" ที่ไม่ได้มีเพียงบทบาทนักการเมือง แต่ยังคงสถานะนักลงทุนรายใหญ่ที่มีการวางโครงสร้างการบริหารทรัพย์สินและธุรกิจของครอบครัวไว้อย่างเป็นระบบ ท่ามกลางสปอตไลต์ทางการเมืองที่กำลังจับจ้องไปยังก้าวต่อไปของเขาบนเส้นทางสู่ทำเนียบรัฐบาล
การจัดตั้ง "บริษัทโฮลดิ้ง" (Holding Company) หรือที่เรียกกันว่าเป็น "บริษัทที่ไปถือหุ้นในบริษัทอื่น"เป็นกลยุทธ์ที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลายในกลุ่มตระกูลนักธุรกิจชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ
เพราะมันไม่ใช่แค่เครื่องมือในการลงทุน แต่เป็นหัวใจสำคัญของการวางรากฐานเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและรักษาความมั่งคั่งของครอบครัวให้คงอยู่ต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น
แม้การจัดตั้งโฮลดิ้ง จะมีต้นทุนและความซับซ้อนในการบริหารจัดการที่สูงกว่าบริษัทเดี่ยว แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการ "ปกป้องทรัพย์สิน" และ "ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการแยกหนี้สินของแต่ละบริษัทออกจากกันอย่างชัดเจน
จึงเป็นโครงสร้างที่ได้รับความนิยมในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือจำนวนมาก หรือกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่ต้องการวางรากฐานการบริหารอาณาจักรธุรกิจให้มีความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ปัจจุบันอำนาจการควบคุมของตระกูลชาญวีรกูลถูกรวมศูนย์ไว้ที่ บริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งมีทายาทเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
สำหรับข้อมูลบริษัท ซี.ที. เวนเจอร์ จำกัด จาก corpusx ระบุว่าจดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2535 ทุนจดทะเบียนล่าสุดอยู่ที่ 5,361 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ดังนี้
อ่านข่าวกับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้