"เงินเดือน 15,000 ผ่อนรถ 9,000 ทำยังไงให้รอด?"
นี่คือคำถามที่เราอาจเห็นได้บ่อยครั้งในโลกออนไลน์ และเชื่อว่าหลายคนน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหาคำตอบอยู่ทุกวัน แต่แทนที่จะให้คำตอบว่า "ทำอย่างไรให้รอด" บทความนี้อยากชวนมาหยุดและมองให้เห็นว่านี่คือสถานการณ์ที่ผิดตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการก่อหนี้สินแบบไม่คำนวณภาระค่าใช้จ่ายที่แท้จริง
การผ่อนรถจนไม่มีกิน ไม่ใช่เรื่องสมมติ แต่เป็นเรื่องจริงที่สะท้อนจากข้อมูลภาพใหญ่ของหนี้ครัวเรือนในประเทศ และพฤติกรรมการก่อหนี้เกินตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ปัจจุบันเราจะเห็นโพสต์ในโซเชียลที่ถามหาทางออกให้กับหนี้รถยนต์ที่เริ่มแบกไม่ไหว และสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้เกิดกับคนแค่คนเดียว แต่เป็นวงจรพฤติกรรมใหญ่ที่น่าเป็นห่วง
อีกทั้งยังพบว่ามีกลุ่มในเฟซบุ๊กที่ชื่อ "รถผ่อนต่อไม่ไหว" ที่มีสมาชิกกว่า 5.8 แสนคน ซึ่งเต็มไปด้วยโพสต์ประกาศขายดาวน์, ขายต่อ, ยกให้ฟรี หรือเปลี่ยนสัญญา เพราะไม่สามารถผ่อนต่อได้ การซื้อรถยนต์จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้เสียขนาดใหญ่ ที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับทางตันในชีวิต
ทำไมคนถึงยอมแบกภาระเพื่อมีรถสักคัน?
คำถามที่น่าสนใจคือทำไมคนจำนวนมากถึงยอมแบกภาระหนักขนาดนี้เพื่อมีรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งมักมีเหตุผลที่ซับซ้อนกว่าแค่ "อยากมี"
- การเดินทางที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน หลายคนไม่มีทางเลือกอื่น การขนส่งสาธารณะในบางพื้นที่อาจไม่ครอบคลุม ไม่สะดวก หรือไม่ปลอดภัย การมีรถส่วนตัวจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปทำงาน, ส่งลูกไปโรงเรียน, หรือดูแลพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด
- สถานะทางสังคมและค่านิยม สำหรับบางคน รถยนต์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและสถานะทางสังคม การมีรถดีๆ สักคันอาจทำให้รู้สึกมั่นคงและได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์
- ความเชื่อเรื่องโอกาส บางคนอาจมองว่าการมีรถจะช่วยสร้างโอกาสในการทำงานได้มากขึ้น เช่น การไปหาลูกค้าได้สะดวกขึ้น, สามารถรับงานนอกสถานที่ได้, หรือใช้รถเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้เสริม
- การวางแผนการเงินที่ไม่สมบูรณ์ หลายคนอาจไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ตามมากับการมีรถอย่างรอบด้าน เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าประกัน, ค่าบำรุงรักษา หรืออาจคิดว่า "เดี๋ยวก็หาทางรอดได้" ทำให้การตัดสินใจซื้อรถเป็นไปตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล
จาก "ผ่อนให้รอด" เป็น "ซื้อรถอย่างไรให้ไม่เป็นภาระ"
แต่อย่างไรก็ตาม จะซื้อรถทั้งที ก็ไม่ควรกลายเป็นภาระของชีวิต โดยเราสามารถจัดการการซื้อรถ กับชีวิตทางการเงินได้ โดยใช้หลักคิด ดังต่อไปนี้
- คำนวณผ่านกฎ "20/4/10" ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ ในการตัดสินใจ โดยเงินดาวน์ควรอยู่ที่ 20% ของราคารถ ผ่อนไม่เกิน 4 ปี และค่างวดไม่ควรเกิน 10% ของเงินเดือน เมื่อเทียบกับความจริงที่หลายคนเลือกผ่อน 7 ปี เดือนละ 7,000–9,000 บาท จะเห็นว่ามันสวนทางกับ “ความปลอดภัยทางการเงิน” อย่างสิ้นเชิง
- อย่าลืมค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่ เพราะการซื้อรถไม่ได้มีแค่ค่างวด แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มองข้ามไม่ได้ เช่น ประกัน, ภาษี, ค่าบำรุงรักษา ยกตัวอย่าง ค่าน้ำมัน 3,000–5,000 บาท/เดือน คำนวณเป็นปี มีค่าใช้จ่ายสูงปีละ 36,000–60,000 บาท /ค่าประกันภัย + ภาษี ปีละ 15,000–20,000 บาท ส่วนค่าบำรุงรักษา ก็อีกอย่างน้อย 5,000–10,000 บาท/ปี รวม ๆ แล้ว “ภาระทั้งปี” อาจสูงกว่า 100,000 บาท ไม่รวมค่าผ่อน!
- แยกให้อ่าน ระหว่างหนี้สินดี vs หนี้สินเสีย หนี้สินดีคือหนี้ที่สร้างรายได้ (เช่น สินเชื่อเพื่อการลงทุน) ในขณะที่หนี้สินเสียคือหนี้ที่สร้างแต่ภาระ (เช่น หนี้รถยนต์ที่ใช้ส่วนตัว)
ก่อนจะออกรถ ต้องประเมิน 3 ความพร้อม
ขณะข้อมูลจากธนาคารไทยพาณิชย์ ยังได้แนะนำให้ประเมินความพร้อมอีกมุม ก่อนตัดสินใจซื้อรถ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านสำคัญ ดังนี้
- พร้อมผ่อน (Financial Readiness) อย่าคิดแค่ว่า "ผ่อนไหว" แต่ให้คิดว่า "ผ่อนแล้วชีวิตยังมีเงินออมไหวไหม?" โดยมีหลักการง่ายๆ คือ ค่างวดรถไม่ควรเกิน 15-20% ของรายได้ต่อเดือน ควรมีเงินดาวน์อย่างน้อย 20% และมีเงินฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของรายจ่ายรายเดือน
- พร้อมใช้ (Functional Readiness) รถที่คุณจะซื้อ เหมาะกับการใช้งานจริงของคุณหรือไม่? ถ้าใช้แค่ในเมือง รถเล็กประหยัดน้ำมันอาจเพียงพอ ถ้าต้องเดินทางบ่อย มีครอบครัว รถที่ใหญ่และปลอดภัยสำคัญกว่า อย่าซื้อจากสิ่งที่ "อยากได้" ให้ซื้อจากสิ่งที่ "ตอบโจทย์ชีวิต"
- พร้อมเปลี่ยนแผน (Flexibility Readiness) แม้วางแผนมาดีแค่ไหน ชีวิตก็เปลี่ยนได้เสมอ เช่น ตกงาน เจ็บป่วย รายได้ลดลง หากคุณมีหนี้ผ่อนรถค้างอยู่หลายปี จะรับมืออย่างไร? การเลือกสินเชื่อที่ให้คุณมีทางเลือกปรับแผนภายหลัง เช่น การรีไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อที่ใช้รถแลกเงินแต่ยังมีรถขับได้ ก็อาจเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ชีวิต
Checklist ถามตัวเอง 5 ข้อ ก่อนซื้อรถ
- "จำเป็นจริง ๆ หรือเปล่า?" ทบทวนความจำเป็นในการใช้รถยนต์ส่วนตัว
- "เงินเดือนพร้อมไหม?" รายได้ต่อเดือนเหมาะสมกับค่างวดและค่าใช้จ่ายที่ตามมาหรือไม่
- "เงินดาวน์พอไหม?" มีเงินเก็บก้อนแรกเพียงพอที่จะวางเงินดาวน์ในอัตราที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
- "มีเงินสำรองฉุกเฉินแล้วใช่ไหม?" มีเงินเก็บเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันแล้วหรือไม่
- "เป้าหมายการเงินอื่น ๆ จะไม่สะดุดใช่ไหม?" การซื้อรถจะกระทบกับเป้าหมายอื่น ๆ เช่น การเก็บเงินเพื่อเกษียณ หรือซื้อบ้านในอนาคตหรือไม่
สุดท้ายแล้ว หากการมีรถสักคน เป็นเป้าหมายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องวางแผนให้รอบคอบ เพราะนี่คือการตัดสินใจทางการเงินครั้งใหญ่ เพราะถ้าไม่วางแผนให้ดี รถที่ควรเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนชีวิต อาจกลายเป็น “ภาระ” ที่ถ่วงคุณไปอีกหลายปีนั่นเอง