“ผ่อนรถ” จนไม่มีกิน มีอยู่จริง จากอยากมี สู่ "เป็นหนี้" แบบไม่คำนวณ ที่คนไทยจำนวนมาก กำลังเผชิญ!

Personal Finance

Financial Planning

Tag

“ผ่อนรถ” จนไม่มีกิน มีอยู่จริง จากอยากมี สู่ "เป็นหนี้" แบบไม่คำนวณ ที่คนไทยจำนวนมาก กำลังเผชิญ!

Date Time: 28 ส.ค. 2568 11:05 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

“เงินเดือน 15,000 แต่ผ่อนรถ 9,000” ปัญหาที่คนไทยจำนวนไม่น้อยกำลังเจอ! ชวนดูวิธีคิดก่อนซื้อรถ วางแผนอย่างไรไม่ให้หนี้กลายเป็นภาระกินชีวิต 5 คำถามที่ต้องตอบให้ได้ ก่อนตัดสินใจออกรถคันใหม่

"เงินเดือน 15,000 ผ่อนรถ 9,000 ทำยังไงให้รอด?"

นี่คือคำถามที่เราอาจเห็นได้บ่อยครั้งในโลกออนไลน์ และเชื่อว่าหลายคนน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหาคำตอบอยู่ทุกวัน  แต่แทนที่จะให้คำตอบว่า "ทำอย่างไรให้รอด" บทความนี้อยากชวนมาหยุดและมองให้เห็นว่านี่คือสถานการณ์ที่ผิดตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการก่อหนี้สินแบบไม่คำนวณภาระค่าใช้จ่ายที่แท้จริง

การผ่อนรถจนไม่มีกิน ไม่ใช่เรื่องสมมติ แต่เป็นเรื่องจริงที่สะท้อนจากข้อมูลภาพใหญ่ของหนี้ครัวเรือนในประเทศ และพฤติกรรมการก่อหนี้เกินตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ปัจจุบันเราจะเห็นโพสต์ในโซเชียลที่ถามหาทางออกให้กับหนี้รถยนต์ที่เริ่มแบกไม่ไหว และสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้เกิดกับคนแค่คนเดียว แต่เป็นวงจรพฤติกรรมใหญ่ที่น่าเป็นห่วง

อีกทั้งยังพบว่ามีกลุ่มในเฟซบุ๊กที่ชื่อ "รถผ่อนต่อไม่ไหว" ที่มีสมาชิกกว่า 5.8 แสนคน ซึ่งเต็มไปด้วยโพสต์ประกาศขายดาวน์, ขายต่อ, ยกให้ฟรี หรือเปลี่ยนสัญญา เพราะไม่สามารถผ่อนต่อได้ การซื้อรถยนต์จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้เสียขนาดใหญ่ ที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับทางตันในชีวิต

ทำไมคนถึงยอมแบกภาระเพื่อมีรถสักคัน?

คำถามที่น่าสนใจคือทำไมคนจำนวนมากถึงยอมแบกภาระหนักขนาดนี้เพื่อมีรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งมักมีเหตุผลที่ซับซ้อนกว่าแค่ "อยากมี"

  • การเดินทางที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน หลายคนไม่มีทางเลือกอื่น การขนส่งสาธารณะในบางพื้นที่อาจไม่ครอบคลุม ไม่สะดวก หรือไม่ปลอดภัย การมีรถส่วนตัวจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปทำงาน, ส่งลูกไปโรงเรียน, หรือดูแลพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด
  • สถานะทางสังคมและค่านิยม  สำหรับบางคน รถยนต์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและสถานะทางสังคม การมีรถดีๆ สักคันอาจทำให้รู้สึกมั่นคงและได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์
  • ความเชื่อเรื่องโอกาส บางคนอาจมองว่าการมีรถจะช่วยสร้างโอกาสในการทำงานได้มากขึ้น เช่น การไปหาลูกค้าได้สะดวกขึ้น, สามารถรับงานนอกสถานที่ได้, หรือใช้รถเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้เสริม
  • การวางแผนการเงินที่ไม่สมบูรณ์ หลายคนอาจไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ตามมากับการมีรถอย่างรอบด้าน เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าประกัน, ค่าบำรุงรักษา หรืออาจคิดว่า "เดี๋ยวก็หาทางรอดได้" ทำให้การตัดสินใจซื้อรถเป็นไปตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล

จาก "ผ่อนให้รอด" เป็น "ซื้อรถอย่างไรให้ไม่เป็นภาระ"

แต่อย่างไรก็ตาม จะซื้อรถทั้งที ก็ไม่ควรกลายเป็นภาระของชีวิต โดยเราสามารถจัดการการซื้อรถ กับชีวิตทางการเงินได้ โดยใช้หลักคิด ดังต่อไปนี้

  • คำนวณผ่านกฎ "20/4/10" ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ ในการตัดสินใจ โดยเงินดาวน์ควรอยู่ที่ 20% ของราคารถ ผ่อนไม่เกิน 4 ปี และค่างวดไม่ควรเกิน 10% ของเงินเดือน เมื่อเทียบกับความจริงที่หลายคนเลือกผ่อน 7 ปี เดือนละ 7,000–9,000 บาท จะเห็นว่ามันสวนทางกับ “ความปลอดภัยทางการเงิน” อย่างสิ้นเชิง
  • อย่าลืมค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่  เพราะการซื้อรถไม่ได้มีแค่ค่างวด แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มองข้ามไม่ได้ เช่น ประกัน, ภาษี, ค่าบำรุงรักษา ยกตัวอย่าง ค่าน้ำมัน 3,000–5,000 บาท/เดือน คำนวณเป็นปี มีค่าใช้จ่ายสูงปีละ 36,000–60,000 บาท /ค่าประกันภัย + ภาษี ปีละ 15,000–20,000 บาท ส่วนค่าบำรุงรักษา ก็อีกอย่างน้อย 5,000–10,000 บาท/ปี รวม ๆ แล้ว “ภาระทั้งปี” อาจสูงกว่า 100,000 บาท ไม่รวมค่าผ่อน!
  • แยกให้อ่าน ระหว่างหนี้สินดี vs หนี้สินเสีย หนี้สินดีคือหนี้ที่สร้างรายได้ (เช่น สินเชื่อเพื่อการลงทุน) ในขณะที่หนี้สินเสียคือหนี้ที่สร้างแต่ภาระ (เช่น หนี้รถยนต์ที่ใช้ส่วนตัว)

ก่อนจะออกรถ ต้องประเมิน 3 ความพร้อม

ขณะข้อมูลจากธนาคารไทยพาณิชย์ ยังได้แนะนำให้ประเมินความพร้อมอีกมุม ก่อนตัดสินใจซื้อรถ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านสำคัญ ดังนี้

  1. พร้อมผ่อน (Financial Readiness) อย่าคิดแค่ว่า "ผ่อนไหว" แต่ให้คิดว่า "ผ่อนแล้วชีวิตยังมีเงินออมไหวไหม?" โดยมีหลักการง่ายๆ คือ ค่างวดรถไม่ควรเกิน 15-20% ของรายได้ต่อเดือน ควรมีเงินดาวน์อย่างน้อย 20% และมีเงินฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่าของรายจ่ายรายเดือน
  2. พร้อมใช้ (Functional Readiness) รถที่คุณจะซื้อ เหมาะกับการใช้งานจริงของคุณหรือไม่? ถ้าใช้แค่ในเมือง รถเล็กประหยัดน้ำมันอาจเพียงพอ ถ้าต้องเดินทางบ่อย มีครอบครัว รถที่ใหญ่และปลอดภัยสำคัญกว่า อย่าซื้อจากสิ่งที่ "อยากได้" ให้ซื้อจากสิ่งที่ "ตอบโจทย์ชีวิต"
  3. พร้อมเปลี่ยนแผน (Flexibility Readiness) แม้วางแผนมาดีแค่ไหน ชีวิตก็เปลี่ยนได้เสมอ เช่น ตกงาน เจ็บป่วย รายได้ลดลง หากคุณมีหนี้ผ่อนรถค้างอยู่หลายปี จะรับมืออย่างไร? การเลือกสินเชื่อที่ให้คุณมีทางเลือกปรับแผนภายหลัง เช่น การรีไฟแนนซ์ หรือสินเชื่อที่ใช้รถแลกเงินแต่ยังมีรถขับได้ ก็อาจเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ชีวิต

Checklist ถามตัวเอง 5 ข้อ ก่อนซื้อรถ 

  • "จำเป็นจริง ๆ หรือเปล่า?"  ทบทวนความจำเป็นในการใช้รถยนต์ส่วนตัว
  • "เงินเดือนพร้อมไหม?" รายได้ต่อเดือนเหมาะสมกับค่างวดและค่าใช้จ่ายที่ตามมาหรือไม่
  • "เงินดาวน์พอไหม?" มีเงินเก็บก้อนแรกเพียงพอที่จะวางเงินดาวน์ในอัตราที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
  • "มีเงินสำรองฉุกเฉินแล้วใช่ไหม?" มีเงินเก็บเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันแล้วหรือไม่
  • "เป้าหมายการเงินอื่น ๆ จะไม่สะดุดใช่ไหม?" การซื้อรถจะกระทบกับเป้าหมายอื่น ๆ เช่น การเก็บเงินเพื่อเกษียณ หรือซื้อบ้านในอนาคตหรือไม่

สุดท้ายแล้ว หากการมีรถสักคน เป็นเป้าหมายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องวางแผนให้รอบคอบ เพราะนี่คือการตัดสินใจทางการเงินครั้งใหญ่ เพราะถ้าไม่วางแผนให้ดี รถที่ควรเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนชีวิต อาจกลายเป็น “ภาระ” ที่ถ่วงคุณไปอีกหลายปีนั่นเอง

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

อุมาภรณ์ พิทักษ์

อุมาภรณ์ พิทักษ์
เศรษฐกิจ การเงิน ลงทุน และ อสังหาริมทรัพย์