
มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม?
อยากซื้อของแพง ๆ ก็งบไม่พอ อยากไปดูคอนเสิร์ตศิลปินที่ชอบแต่เก็บเงินค่าตั๋วได้แค่ครึ่งเดียว อาจเพราะทุกวันนี้จะหยิบจับอะไรก็แพงไปหมด หลายคนเลยหันไปใช้การ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” มากขึ้น
ทุกวันนี้สินเชื่ออย่าง Buy Now Pay Later (BNPL) หรือ ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง เปรียบเสมือนผู้ช่วยในการช็อปปิ้งของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่คุ้นเคยอย่างดีกับการใช้ BNPL มาผ่อนจ่ายสินค้าหรือบริการ โดยเฉพาะการไปคอนเสิร์ตหรืออีเวนต์ต่าง ๆ
ข้อมูลล่าสุดของสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) ของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (ณ มิ.ย. 2025) ค่าเข้าชมภาพยนตร์ โรงละคร และคอนเสิร์ตนั้นเพิ่มขึ้นถึง 3.9%! นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น Funflation หรือภาวะเงินเฟ้อ ที่เกิดในหมวดความบันเทิง
การที่ตั๋วคอนเสิร์ตมีราคาที่สูงขึ้นนั้นอาจส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้คน สะท้อนจากผลสำรวจของ LendingTree ที่ระบุว่า 23% ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้สินเชื่อ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” กับหมวดคอนเสิร์ตหรืองานเทศกาล
ถ้าแยกตาม Generation จะมีสัดส่วนการใช้ BNPL ดังนี้
โดยมีความเห็นจาก Greg McBride หัวหน้านักวิเคราะห์การเงินของ Bankrate ว่า สินเชื่อ Buy Now Pay Later กลายเป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับหลาย ๆ คนเพราะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเหล่าผู้บริโภค โดยช่วยแบ่งชำระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ออกเป็นงวด ๆ ได้
ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้นที่นิยมใช้สินเชื่อ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” แต่คนไทยก็ใช้กันอย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่ต่างกันคือ คนไทยไม่ค่อยใช้ในหมวดคอนเสิร์ต แต่เป็นหมวดสินค้าอีคอมเมิร์ซ เช่น SPayLater, LazPayLater หรือ TikTok PayLater เป็นต้น
โดยอ้างอิงจากรายงานของ Research And Markets ปี 2025 ที่กล่าวว่าตลาดซื้อก่อนจ่ายทีหลังในไทยนั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 - 2024 มาจากผู้บริโภคมองหาการชำระที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกเบาและสบายกับค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ทุกวันนี้เราอาจเห็นเพื่อนบางคนเลือกกด “ผ่อน” จ่ายทุกอย่างผ่าน การซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ไม่ว่าจะโทรศัพท์ ยันกับข้าวมื้อราคาไม่กี่ร้อย แน่นอนว่าการใช้จ่ายแบบนี้ก็มีข้อดีในมุมของการบริหารค่าใช้จ่ายให้คล่องตัวและแบ่งค่าใช้จ่ายของเราให้เบาลงด้วยการผ่อนเป็นงวดๆ
ทว่าความสะดวกสบายนี้เองที่อาจกลายเป็นหลุมพรางให้เราใช้จ่ายเกินตัวโดยไม่ทันคิด และจากหนี้ก้อนเล็กๆ หลายๆ ก้อนที่ดูเหมือนไม่เป็นไร อาจรวมกันเป็นเงินจำนวนมากที่น่าตกใจทุกสิ้นเดือน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาการเงินในระยะยาว แต่ยังส่งผลต่อเครดิตของเราด้วย
ดังนั้น เราจะวางแผนใช้ BNPL อย่างไรไม่ให้เกินตัว Thairath Money ขอแนะนำ 3 วิธีป้องกันกับดักซื้อก่อนจ่ายทีหลัง นั่นก็คือ
ก่อนอื่นเลยคือเราควรเช็กเงื่อนไข และรายละเอียดการใช้บริการ Buy Now Pay Later ให้ถี่ถ้วนก่อน เช่น อัตราดอกเบี้ย 0% ที่ระบุไว้นั้นมีระยะเวลาเท่าไหร่ เพราะหากโปรผ่อน 12 เดือน แต่ดอกเบี้ย 0% เพียง 3-6 เดือน ดังนั้นเดือนที่เหลือ 6-9 เดือนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเองและอาจมีดอกเบี้ยที่สูง
แม้ว่า BNPL จะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายก้อนเดียวให้ผ่อนจ่ายได้หลายงวด และทำให้เราสนุกกับการช็อป แต่เราต้องกำหนดขอบเขตว่าเราจะใช้จ่ายแค่ไหน อย่าแพ้เสียงในหัวที่บอกว่า “ของมันต้องมี” เพราะบางครั้งนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้จ่ายเกินตัวจนเป็นหนี้ได้
การใช้ BNPL สำหรับช้อปปิ้งหรือซื้อของที่เราชอบนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างไร ทว่า เราต้องมีวินัยทางการเงินที่ดี ชำระหนี้อย่างตรงเวลาทุกครั้ง เพราะหากไม่จ่าย ประวัติการชำระหนี้เสียของเรา จะถูกบันทึกในเครดิตบูโร และส่งผลเสียต่อประวัติของเราได้ ในทางกลับกันถ้าเรามีวินัยการเงินที่ดีผ่อนชำระตรงเวลา ข้อมูลนี้จะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโรเช่นกัน
ที่มา : CNBC, LendingTree, Research And Markets ปี 2025
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money
เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney