
การมีเงินเดือนสูง คือความฝันของใครหลายคน เพราะยิ่งมีรายได้มากเท่าไหร่นั้นหมายความว่าเรามีโอกาสในการทำสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ไปเที่ยว, ช็อปปิ้ง หรือแม้แต่ซื้อของกินตามใจอยากได้ไม่อั้น
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่ายิ่งเรามีเงินมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้น หากเราวางแผนใช้มันไม่เป็น และซื้อของเพื่อสนองความต้องการมากจนบางครั้งเงินเดือนที่มีแทบไม่เหลือ
บางคนคิดว่าถ้าเงินเดือนเราสูงขึ้น นั้นหมายความว่าเรามีโอกาสที่จะรวยมากขึ้น เพราะมีรายได้เพิ่มจากแต่ก่อน แต่รู้ไหมว่าถ้าเราบริหารเงินไม่เป็น เงินก้อนนั้นอาจไม่ต่างอะไรจากเดิมเลย
ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ หลายคนมักปล่อยให้ “ไลฟ์สไตล์” ของตัวเองมีราคาสูงขึ้นตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น เช่น จากที่เคยกินข้าวมื้อละ 50 บาท อาจกลายเป็น 300 บาท หรือเปลี่ยนจากที่เคยใช้มือถือธรรมดา 5 ปีค่อยซื้อใหม่ กลายเป็นคนที่ซื้อรุ่นล่าสุดทุกครั้งที่ออกมาใหม่
พฤติกรรมแบบนี้เรียกว่า "Lifestyle Inflation" หรือการใช้เงินมากขึ้นเมื่อหาได้มากขึ้น ซึ่งหากไม่มีการวางแผนทางการเงินที่ดี อาจส่งผลต่อการเงินของคนคนนั้นให้อยู่ในสภาวะที่ไม่ต่างจากคนรายได้น้อย และต้องพยายามสู้ชีวิตเพื่อให้อยู่รอดในแต่ละเดือน ทั้งที่เงินเดือนสูง
ก่อนอื่น เรามองเงินเดือนทั้งก้อนของตัวเองทั้งหมดเป็น 100% เพื่อแบ่งออก 5 ส่วน ตามหมวดความสำคัญและความจำเป็นที่เราจะใช้ เพื่อให้เงินทุกบาทคุ้มค่าที่สุด ด้วยแนวคิด 30-10-30-20-10 ได้แก่
1. เงินสำหรับใช้จ่าย (30%)
ส่วนของเงินที่ต้องกันไว้สำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น
ควรพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่ให้เกิน 30-40% ของรายได้ เพื่อให้มีเงินเหลือเพียงพอสำหรับส่วนอื่นๆ หากพบว่าเกินกว่านี้ อาจต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นบ้าง
2. เงินต่อลมหายใจ (10%)
ส่วนที่ต้องเก็บไว้สำหรับเงินฉุกเฉิน เพื่อใช้ยามจำเป็น ไม่ให้ชีวิตสะดุด เช่น :
อย่างน้อยควรมีเงินสำรองฉุกเฉินราว 3-6 เดือน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
3. เงินจ่ายหนี้ (30%)
ส่วนสำหรับใช้จ่ายหนี้ที่ยังค้างอยู่ เช่น
หากมีหนี้หลายก้อน ควรวางแผนและจัดการจ่ายหนี้ก้อนที่ดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เพื่อลดไม่ให้ดอกเบี้ยหนักมากเกินไป
4. เงินเพื่ออนาคต (20%)
ส่วนที่เก็บออมเพื่อเป้าหมายในชีวิต เช่น การเกษียณ
ในส่วนของการลงทุนนั้นควรเริ่มต้นให้เร็วที่สุดแม้จะเป็นเงินที่จำนวนไม่มาก เพราะ "เวลา" คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้เงินก้อนนี้เติบโต และควรศึกษาหาความรู้ทุกครั้งก่อนทุ่มเงินไป เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ
5. เงินสานฝัน (10%)
เงินสำหรับซื้อความสุขส่วนตัว เช่น
ซึ่งการใช้เงินก้อนนี้ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย เพราะมันเป็นเงินส่วนที่เราแบ่งไว้แล้ว แม้ว่าการประหยัดจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามากเกินไปอาจสร้างความอึดอัดให้ตัวเอง ดังนั้น การใช้เงินก้อนสานฝันนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องรู้สึกผิด
ที่สำคัญ อย่าลืมที่จะจัดระเบียบการเงินของตัวเองให้เป็นระบบ เพราะ "ความมั่งคั่ง" ไม่ได้วัดกันที่รายรับ แต่วัดจากที่ว่าใครจะใช้มันเป็นและคุ้มค่ามากกว่า เพราะถ้าไม่รู้จักแบ่งใช้ ก็เสี่ยงที่เงินก้อนโตนั้นจะหายวับไปในชั่วพริบตาได้
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney