
หนึ่งในหลักการสำคัญของการลงทุนที่ดีคือการ กระจายความเสี่ยง (Diversification) ซึ่งไม่เพียงแต่จำกัดอยู่แค่การเลือกลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมองหาโอกาสในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงกว่าตลาดในประเทศของเรา
จากข้อมูลผลตอบแทนตลาดหุ้นอาเซียนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2568) แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่น่าสนใจในการกระจายการลงทุนในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบสูงถึง -17% ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคกลับให้ผลตอบแทนเป็นบวก หรือติดลบเพียงเล็กน้อย
เมื่อส่องผลตอบแทนในหุ้นอาเซียน จากต้นปีถึง ปัจจุบัน พบว่าน่าดึงดูดใน
ดังนั้นการกระจายโอกาสในตลาดหุ้นอาเซียนนั้นน่าสนใจ โดยเฉพาะในตลาดหลัก อย่างสิงคโปร์ และตลาดหุ้นที่เติบโตสูง อย่าง เวียดนาม และ อินโดนีเซีย มีช่องทางไหนลงทุนได้บ้าง
เริ่มต้นกันที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ หนึ่งในตลาดหุ้นชั้นนำของเอเชียและอาเซียน ที่นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้นได้หลายช่องทาง
ช่องทางแรก คือ การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ในไทย ซึ่งมีหลายรายให้บริการ เช่น บล.กสิกรไทย, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.บัวหลวง, บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.กรุงศรี ข้อดีคือคุณสามารถซื้อขายหุ้นสิงคโปร์ได้โดยตรงด้วยเงินดอลลาร์สิงคโปร์ โดยไม่มีข้อกำหนดเรื่องจำนวนหรือประเภทการลงทุน
ช่องทางต่อมา คือ การซื้อขายผ่าน DR อ้างอิงหุ้นสิงคโปร์ที่เทรดในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันมีโบรกเกอร์ไทยนำ DR หลายหุ้นเข้ามาทำการซื้อขาย เช่น SIA19 (อ้างอิงหุ้น Singapore Airlines), DBS19 (อ้างอิงหุ้น DBS Group) และ THAIBEV19 (อ้างอิงหุ้นไทยเบฟ ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มสัญชาติไทยที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์) ข้อดีคือเทรดง่ายด้วยเงินบาทผ่านตลาดหุ้นไทย แต่ควรระวังหากตลาดหุ้นไทยปิดทำการในวันหยุดพิเศษ DR จะหยุดซื้อขายด้วยเช่นกัน
ช่องทางสุดท้าย คือ กองทุนรวม ซึ่งปัจจุบันมีหลายกองทุนให้บริการ เช่น ONEPROP-SG (กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์) หรือกองทุนตราสารหนี้อย่าง KFSGB6M5 (กองทุนเปิดกรุงศรีพันธบัตรรัฐบาลสิงคโปร์ 6M5) เป็นต้น
ตลาดหุ้นเวียดนามถูกยกให้เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของอาเซียน ด้วยจุดเด่นด้านการเติบโตของ GDP ที่พุ่งขึ้นเป็นอันดับต้นๆ และมีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนไทยให้ความสนใจและเข้าลงทุนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับขึ้นมากกว่า 10% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่นักลงทุนไทยหลายรายกลับประสบปัญหาขาดทุนหนัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินเวียดนามที่อ่อนค่าลงอย่างมาก
ช่องทางแรก คือ การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศกับบริษัทหลักทรัพย์ในไทย ซึ่งมีหลายรายให้บริการ เช่น บล.กสิกรไทย, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.บัวหลวง, บล.ไทยพาณิชย์, บล.กรุงศรี และ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เป็นต้น
ช่องทาง DR นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมในประเทศไทย โดย DR อ้างอิงหุ้นเวียดนามเป็น DR ที่มีเม็ดเงินลงทุนสูงที่สุด นำโดย FUEVFVND01 ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 6,780 ล้านบาท และ E1VFVN3001 ที่มีมูลค่าลงทุน 5,017 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีหุ้นเวียดนามจะปรับตัวขึ้นไปมาก แต่ DR เวียดนามทั้ง 2 หุ้นนี้กลับให้ผลตอบแทนไม่มากนัก
ช่องทางที่ 3 คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีมากกว่า 43 กองทุน เช่น TVNT8M2 ของ บลจ.ทิสโก้ หรือ KT-VIETNAM-A ของ บลจ.กสิกรไทย
ตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกมองว่าอาจเป็นอนาคตของอาเซียน ด้วยจุดเด่นของจำนวนประชากรที่สูงถึง 285 ล้านคน (สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก) และขนาดประเทศที่ใหญ่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอินโดนีเซียมีข้อจำกัด เนื่องจากยัง ไม่มี DR ในตลาดหุ้นไทย โดยมีเพียงช่องทางการซื้อขายหุ้นผ่านบัญชีตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น บล.กสิกรไทย, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.บัวหลวง, บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.กรุงศรี
นอกจากนี้ คุณยังสามารถลงทุนได้ผ่านช่องทาง กองทุนรวม เช่น SCBINDO(A) โดย บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) หรือ ES-INDONESIA โดย บลจ. อีสท์สปริง เป็นต้น
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจลงทุนของคุณและสร้างผลตอบแทนระยะยาว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้