
“ความรัก” ไม่ได้มีแค่เรื่องของหัวใจที่ประคองชีวิตคู่ แต่เรื่อง “เงิน” ก็เป็นปัจจัยสำคัญ
หลายคู่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ต้องกู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ หรือสินเชื่ออื่น ๆ แต่เมื่อถึงวันที่รักไปไม่รอด ปัญหาหนักที่ตามมาคือ หนี้กู้ร่วม ที่ไม่ได้เลิกง่ายเหมือนเลิกคน
หลายคนคิดว่าการเลิกราคือจุดจบของทุกสิ่ง แต่จริง ๆ แล้วภาระกู้ร่วมยังผูกพันชื่อทั้งคู่ไว้เหมือนเดิม และถ้าไม่จัดการให้ดี ไม่ใช่แค่ความรักหรือการเงินเท่านั้นที่จะไม่จบ แต่เครดิตที่สะสมมาทั้งชีวิตก็อาจพังตามไปด้วย
การหมดรักไม่ใช่สิ่งที่ใครจะห้ามกันได้ เมื่อไม่มีความรักต่อกันแล้วก็แค่แยกทางกันไป ทว่า แม้ความรักจะสลาย แต่หนี้ที่กู้ร่วมด้วยกันไว้ยังคงอยู่ และดอกเบี้ยที่ยังคงเกาะติดมานั้นยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น เราจึงต้องวางแผนเรื่องเงินไว้ล่วงหน้า และไม่ใช่แค่ต้องเตรียมใจให้พร้อม แต่ความรู้ก็ต้องพร้อมด้วยเช่นกัน เพราะแม้ว่าความรักจะพัง แต่การเงินของเราต้องไปรอด
และนี่คือ 3 วิธีจัดการหนี้กู้ร่วม แบบง่าย ๆ
1. ขายบ้านและแบ่งเงินกัน
สำหรับคู่รักที่ซื้อบ้านร่วมกัน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกทางกัน การขายบ้านและแบ่งเงินกันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แฟร์กับทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในกรณีที่เห็นตรงกันว่าอยากจบความสัมพันธ์ทั้งคู่ และไม่อยากให้ภาระผ่อนบ้านเป็นเรื่องกังวลใจในอนาคต หรือตกลงเรื่องแบ่งทรัพย์สินไม่ได้ การขายบ้านแล้วแบ่งเงินตามส่วนที่ตกลงกันไว้จึงเป็นวิธีที่ช่วยจัดการได้อย่างเป็นธรรม
ขั้นตอนคือ เริ่มจากประกาศขายบ้านให้กับผู้ที่สนใจซื้อ จากนั้นดำเนินการตามขั้นตอนการซื้อขาย เช่น การทำสัญญาซื้อขาย การวางเงินมัดจำ และให้ผู้ซื้อไปติดต่อกับธนาคารเพื่อประเมินราคาบ้านและขอสินเชื่อ เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว จะทำการโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้แก่ผู้ซื้อ ส่วนเจ้าของบ้านเดิมจะได้รับเงินส่วนต่างจากราคาขายหลังหักยอดหนี้คงเหลือกับธนาคาร ตามที่ตกลงกันไว้
2. เลือกผู้ถือกรรมสิทธิ์บ้านเพียงคนเดียว
ถ้าไม่อยากขายบ้าน บางคู่ก็เลือกให้ เหลือเจ้าของบ้านแค่คนเดียว เพื่อไม่ต้องกังวลเรื่องกู้ร่วมอีก ซึ่งการเลือกผู้ถือกรรมสิทธิ์บ้านทำได้ 2 วิธี คือ
คู่ไหนตกลงกันได้ ฝ่ายหนึ่งอาจยอมยกสิทธิ์ให้ หรือขายส่วนที่ตัวเองถือกรรมสิทธิ์ให้อดีตคนรักไปเลย ถ้าฝ่ายที่อยากถือบ้านคนเดียวมีเงินพอ ก็จ่ายส่วนนี้แล้วทำสัญญายินยอมกันให้เรียบร้อย
จากนั้นต้องไปแจ้งธนาคารให้ถอนชื่ออีกฝ่ายออก ธนาคารจะตรวจสอบว่าคนที่จะผ่อนต่อไหวไหม ซึ่งโดยปกติแล้วค่างวดทั้งหมด รวมไปถึงหนี้อื่น ๆ ต้องไม่เกิน 65% ของรายได้ เช่น ถ้าผ่อนเดือนละ 30,000 บาท คนที่เหลือถือบ้านต่อควรมีรายได้อย่างน้อย 50,000 บาทขึ้นไป ถ้ารายได้ไม่พอ ธนาคารอาจให้หาคนอื่น เช่น พ่อแม่ หรือคนในครอบครัวมาเป็นคนกู้ร่วมแทนได้
หากอยากเป็นเจ้าของบ้านต่อ แต่ไม่มีเงินก้อนพอซื้อส่วนแบ่ง สามารถขอสินเชื่อเพิ่มจากธนาคารได้โดยแจ้งถอนชื่อผู้กู้ร่วมเดิมออก และขอวงเงินกู้เพิ่มจากส่วนต่างของบ้าน เพราะส่วนใหญ่บ้านที่ผ่อนมาสักพัก ราคาประเมินจะสูงขึ้น
เช่น บ้านราคา 5 ล้านบาท ผ่อนมา 10 ปี เหลือหนี้ 3 ล้าน ฝ่ายที่ขายสิทธิ์เรียก 1 ล้าน แต่อีกฝ่ายไม่มีเงินก้อน ก็ทำเรื่องกู้เพิ่มอีก 1 ล้านได้ ธนาคารจะดูว่าหลังรวมกู้เพิ่ม ยอดผ่อนต่อเดือนยังไหวไหม (โดยรวมภาระหนี้อื่น ๆ แล้วไม่ควรเกิน 65% ของรายได้) ถ้าไม่พอ อาจต้องหาคนกู้ร่วมเพิ่มเหมือนกัน
3. การขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์เป็นทางออกที่ช่วยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือกรรมสิทธิ์บ้านคนเดียวได้ โดยการย้ายหนี้บ้านจากธนาคารเดิมไปธนาคารใหม่ ขั้นตอนคือ
ธนาคารจะพิจารณาว่าผู้ขอรีไฟแนนซ์สามารถผ่อนชำระได้หรือไม่ (ยอดผ่อนรวมภาระหนี้อื่น ๆ ต้องไม่เกิน 65% ของรายได้) หากผ่านจะอนุมัติวงเงินให้ครบเพื่อจ่ายให้ฝ่ายที่ขายกรรมสิทธิ์ และปิดยอดหนี้บ้านเดิม เพื่อให้ผู้ขอรีไฟแนนซ์ได้เริ่มต้นใหม่
ทั้งนี้ การเงินก็เหมือนกับความรัก ต้องประคองไปให้สุดทาง และต้องวางแผนจัดการให้ดี โดยเฉพาะกับหนี้ก้อนที่เราต้องบริหารร่วมกับคนรัก เราไม่มีทางรู้ว่าวันข้างหน้าความรักและการเงินของเราจะเป็นไปในทิศทางไหน แต่ที่แน่ใจได้คือแม้รักพัง แต่การเงินเราต้องมั่นคง
ที่มา : ธนาคารกรุงศรี
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney