
ถ้าผ่อนได้แค่ก้อนเดียว “บ้าน” หรือ”รถ” อะไรคือการเลือกที่ฉลาดกว่า?
นี่ไม่ใช่แค่คำถามเชิงวิเคราะห์ แต่ยังสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำของคนเมือง ที่ฝันอยากมี “บ้าน” แต่อาจต้องยอมซื้อ “รถ”ก่อนเพราะระบบขนส่งไม่พร้อม และ แพง
ขณะอีกแง่ เงินเฟ้อ และ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพ-เงินเก็บ ส่งผลการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของคนไทย ลดน้อยถอยลง
ยอดปฏิเสธสินเชื่อบ้านพุ่ง 50-70% ภายใต้ ราคาบ้าน-คอนโดมิเนียม ปรับขึ้นในทุกๆ ปี เฉลี่ยปีละ 7-8% ตามราคาที่ดิน คนไทย กำลังเผชิญกับปัญหา "หนี้ครัวเรือน" รุนแรง
บางคน อยากจะซื้อบ้าน แต่มีหนี้รถ ไม่นับรวม หนี้บัตรเครดิต, หนี้บัตรกดเงินสดติดตัวมาล้นแล้ว ช่องว่างที่จะขอสินเชื่อใหม่ จนแทบเป็นศูนย์
กลายเป็นคำถามสำคัญ ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นทำงาน พอจะมีรายได้ ระหว่าง บ้าน กับ รถ ควรให้ความสำคัญ กับอะไรก่อนดี ? ถ้าบ้าน คือ รากฐานของชีวิต คือ ความมั่นคง แต่ “รถ” พาชีวิตไปต่อ
ถ้าดูในแง่ “ทรัพย์สิน vs หนี้สิน”
ถ้าดูในแง่ “ความจำเป็น”
ขณะที่หากวิเคราะห์ลึกลงไปในแง่ “ภาระทางการเงิน” ก็มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา
โดยสรุปแล้ว การตัดสินใจในการซื้อรถหรือบ้านนั้น จะต้องเริ่มจากการสำรวจสถานะทางการเงินของตัวเองเป็นอันดับแรกว่าเรามีความสามารถในการผ่อนชำระแค่ไหน ซึ่งหากพบว่าเรามีความพร้อมในการชำระเงินกู้ในระยะยาวแล้ว ก็ต้องลองพิจารณาดูความจำเป็นในการเลือกซื้อรถหรือบ้าน
โดยตั้งคำถามว่าสิ่งใดที่เรายังไม่มี และมีความจำเป็นต้องใช้มากกว่า สิ่งใดที่ซื้อแล้วจะได้ประโยชน์ในการใช้สอยหรือได้ประโยชน์ทางการเงินมากกว่า ก็จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะซื้อรถหรือบ้านก่อนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
หากท้ายที่สุด ตัดสินใจได้ว่า “รถ” น่าจะเป็นสิ่งจำเป็นก่อน ก่อนตัดสินใจซื้ออาจต้องพิจารณาถึงต้นทุนอื่นๆเพิ่มเติมด้วย เพราะการซื้อรถ 1 คัน ไม่ได้มีแค่ค่าผ่อนต่อเดือนเท่านั้น
1.ค่าเงินดาวน์รถยนต์ (ยิ่งวางเงินดาวน์สูงเท่าไร ก็ยิ่งผ่อนจ่ายค่างวดได้สบายขึ้น)
2.ค่าผ่อนรถ (ผ่อนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับราคารถยนต์ ดอกเบี้ย จำนวนเงินดาวน์ และจำนวนงวดเฉลี่ยแล้วเราจะผ่อนจ่ายรถเดือนละประมาณ 5,000-15,000 บาท )
3.ค่าน้ำมัน/แก๊ส /ค่าชาร์จไฟ (ปกติแล้วถ้าใช้รถยนต์ขับไปทำงานทุกวัน จะเสียค่าน้ำมัน/แก๊ส ประมาณ 4,000-8,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพการขับขี่ ระยะทาง และสภาพการจราจร)
4.ค่าดูแลบำรุงรักษา ตรวจเช็กระยะ เช็กสภาพรถ (ปกติเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จะทำปีละ 2 ครั้ง (ทุกๆ 6 เดือน) มีค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ 3,000-4,000 บาท)
5.ค่าพ.ร.บ./ประกันภัย/ภาษีรถยนต์ (เหมือนเป็นภาคบังคับ ทั้งเรื่องของภาษีและ พ.ร.บ.รถยนต์ ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนประกันภัยรถยนต์นั้น ถ้าเราจัดไฟแนนซ์ก็ในสัญญาจะมีกำหนดให้ทำประกันภัยไว้ )
6.ค่าที่จอดรถ (ปัญหาระดับชาติของคนมีรถ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หาที่จอดรถยากเหลือเกิน เหมาเป็นรายเดือน ราว 1,000-2,000 บาท หรืออาจจ่ายรายครั้งละ 20-50 บาท แต่พอรวมกันหลายๆ เดือนมันก็เยอะเหมือนกัน)
7.ค่าทางด่วน (ถ้าอยากประหยัดเวลาเดินทาง ไม่ว่าจะในเมืองหรือไปต่างจังหวัดไกลๆ การใช้ทางด่วนก็จะตอบโจทย์ ซึ่งก็ต้องจ่ายตั้งแต่ครั้งละ 50-240 บาท)
8.ค่าแกดเจ็ต อุปกรณ์ต่างๆ ของตกแต่ง ฯลฯ (บางอย่างจำเป็น เช่น ฟิล์มกรองแสง กล้องติดรถยนต์ อุปกรณ์นำทาง )
9.ค่าล้างรถ
10.ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (เช่น ค่าปรับกรณีทำผิดกฎจราจร ค่าเรียกรถลากฉุกเฉิน ค่าซ่อมด่วน ค่ายางรถยนต์ )
ส่วนคนที่ตัดสินใจซื้อบ้าน สิ่งสำคัญของการวางแผนซื้อบ้าน คือ การประเมินเงินเดือน หรือรายได้ ต่อ มูลค่าบ้านที่จะซื้อได้
วิธีคิดง่าย ๆ คือ ธนาคารจะให้ผ่อนไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน (ในกรณีไม่มีหนี้อื่น) ยิ่งเงินเดือนเยอะ ยิ่งกู้ได้เยอะ และ เลือกบ้านได้หลากหลายขึ้น
1.ราคาสุดท้าย จ่ายจริงเท่าไหร่
นอกจากราคาบ้านแล้วยังมีค่าอื่นๆที่ต้องจ่ายเพิ่มไหม เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง ค่ามิเตอร์ ฯลฯ
2.ค่าส่วนกลางจ่ายปีละเท่าไหร่
นอกจากตัวบ้าน ยังมีค่าดูแลรักษา สิ่งอำนวยสะดวกต่างๆ ควรถามให้ชัดว่า ต้องจ่ายปีละเท่าไหร่ และครอบคลุมค่าอะไรบ้าง?
3.มีค่าใช้จ่ายแฝง อื่นๆมีอีกไหม
เช่น ค่าบำรุงถนน ,ค่าซ่อมระบบต่างๆ หรือ ค่าประกันภัยบ้าน
4.บ้านที่ได้จริง เหมือนบ้านตัวอย่างไหม
ควรถามให้แน่ใจว่า บ้านที่ซื้อใช้วัสดุเดียวกับบ้านตัวอย่างไหม และ ได้ของแถมอะไรบ้าง?
5.ใครดูแลโครงการหลังโอนกรรมสิทธิ์
เพื่อความมั่นใจว่าบ้านจะได้รับการดูแลต่อเนื่อง ควรถามโครงการว่า จัดตั้งนิติบุคคลหรือยัง และ หากเกิดปัญหาต้องติดต่อใคร
ที่มา : Altitude Development ,เอพี ไทยแลนด์ ,ธนาคารไทยพาณิชย์ ,ทีทีบี
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney