
ราคาขึ้น 106% ในเวลา 13 ปี แต่คุณ...ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่?
นี่คงเป็น 1 ในเหตุผล ที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า ทำงานหนักขึ้น แต่กลับมีเงินไม่พอใช้มากขึ้นทุกปี หากเงินเดือนคุณขึ้นปีละ 3% แต่ต้องจ่ายค่าข้าวแพงขึ้น 6% ในทุกๆปี ไม่ต่างจากเรากำลัง “จนลง” โดยไม่รู้ตัว
ข้อมูลนี้ไม่ได้อ้างเอ่ยขึ้นมาเอง แต่มาจากการเก็บข้อมูล และสำรวจ การเปลี่ยนแปลงราคาอาหาร ใจกลางเมือง ย่าน สีลม สุรวงศ์ และ สาทร ตั้งแต่ปี 2555-2568 โดย ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งถือเป็น 1 ในดัชนีสำคัญ ชี้วัด เศรษฐกิจของประเทศ
การสำรวจนี้ ดำเนินการรวมทั้งสิ้น 21 ครั้ง แต่ในระยะหลังเปรียบเทียบรอบปีแทน เจาะจงเฉพาะในพื้นที่สีลม-สุรวงศ์ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจหรือ Central Business District (CBD) ของประเทศไทย และมีคนทำงานในสำนักงานเป็นจำนวนมาก
ภายใต้ตั้งสมมติฐานว่าราคาอาหารในย่านนี้เป็นราคามาตรฐานตัวแทนสำคัญสำหรับกรุงเทพมหานคร ผ่านการเดินสำรวจซ้ำตามร้านเดิมที่เคยสำรวจไว้จำนวนมากกว่า 30 ร้าน บางบริเวณเป็นร้านอาหารร้านเดียว บางบริเวณเป็นศูนย์อาหาร
พร้อมบันทึกถ่ายภาพนิ่ง และวีดีทัศน์ประกอบ และในบางบริเวณมีร้านค้าเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามห้วงเวลาอีกด้วย โดยแต่ละครั้งที่สำรวจใช้เวลาในการเดินไม่เกิน 2 ชั่วโมงในช่วงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน
ปรากฎข้อมูล 13 ปี (พฤษภาคม 2555 – มิถุนายน 2568) ราคาอาหารจานด่วน เพิ่มจาก 31.0 บาท เป็น 64.0 บาท หรือเพิ่มขึ้น 106.5% และหากคิดเป็นการเพิ่มขึ้นต่อปี ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร เพราะสูงกว่าอัตราภาวะเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในบางกรณี แม้ราคาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณอาจจะลดน้อยลง หรือบางร้านปริมาณจะคงเดิม แต่คุณภาพก็อาจลดลง โดยผู้ค้าบางรายกล่าวว่า ไม่สามารถขึ้นราคาอาหารได้เพราะคนซื้อไม่มีกำลังซื้อเท่าที่ควร ทั้งที่วัตถุดิบในการทำอาหารเพิ่มขึ้นก็ตาม จะสังเกตได้ว่าร้านที่ยังพยายามยืนราคาอาหารไว้ หรือไม่ขึ้นราคา จะมีผู้เข้าคิวอุดหนุนมากเป็นพิเศษ
อีกทั้งทีมสำรวจ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า อาจมีบางบริเวณ เช่น เมืองท่องเที่ยว หรือเมืองอุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่มของราคาขายมากกว่านี้ หรือสำหรับรายการอาหารแบบฟาสต์ฟูด ก็อาจปรับราคาเพิ่มขึ้นตามอำเภอใจโดยไม่ได้มีการควบคุม
แต่สำหรับประชาชนกันเอง ย่อมมีความเห็นใจและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันตามสมควร จึงทำให้แทบไม่มีการปรับราคาขาย แต่ระยะหลังจากที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ทำให้การเพิ่มราคาอาหารเกิดขึ้นอย่างชัดเจน
จากการสัมภาษณ์ผู้ค้าพบว่า สิ่งที่ส่งผลที่เด่นชัดกว่าก็คือ ค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกเพื่อการขายอาหาร หากค่าเช่าแพงขึ้นมาก ก็จะทำให้ราคาอาหารเพิ่มมากขึ้น บางแห่งเช่าพื้นที่ขนาดประมาณ 18 ตารางเมตร เป็นเงินถึง 60,000 บาทต่อเดือน (ตรม.ละ 3,333 บาท)
ดังนั้นรัฐบาลหรือกรุงเทพมหานคร อาจช่วยจัดหาพื้นที่ค้าขายในราคาถูก เพื่อให้ผู้ค้าสามารถยืนหยัดขายในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ประชาชน
และด้วยเหตุที่ค่าเช่าพื้นที่ขายแพง ก็เลยมีร้านอาหารประเภท “อาหารกล่อง” คือให้ผู้ซื้อๆ กลับไปรับประทานที่อื่น จึงประหยัดค่าเช่าได้มาก ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญ และตามศูนย์อาหารต่างๆ ก็พบว่า ร้านค้าหลายแห่งหายไป บางแห่งปิดร้านไปตั้งแต่ช่วงโควิดเมื่อ 1-2 ปีก่อน (2563-2564) อย่างไรก็ตามร้านค้าที่ปิดไปส่วนมาก เพิ่งปิดในช่วงปี 2564-2565 นี้เอง ในการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ร้านค้าบางแห่งก็ยังซบเซาอยู่
สำหรับ ปี 2568-2569 ประเมินว่า ราคาอาหารน่าจะยังค่อนข้างทรงตัวเพราะเศรษฐกิจฝืดเคืองกันทั่วหน้า หากขึ้นราคาสินค้าอาหารอีก ก็คงยิ่งขายยาก ราคาอาหารจึงน่าจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2% เช่นกัน
จากข้อมูลข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า ในขณะที่ตัวเลข GDP ถูกหยิบมาอ้างถึงเพื่ออธิบาย “ภาพรวมเศรษฐกิจ” แต่ข้าวจานเดียวกลับสะท้อน “ความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน” ได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่า
ที่มา : AGENCY FOR REAL ESTATE AFFAIRS
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney