“Travel More for Less” เที่ยวเยอะขึ้น-ใช้งบน้อยลง MOVE (อดีต AirAsia Superapp) ปั้นแคมเปญใหญ่จับนักเดินทางสายประหยัด “Budget Traveller” รุกขยายความร่วมมือพาร์ทเนอร์ใหม่ พันธมิตรสายการบิน โรงแรม ร้านค้าปลอดภาษี มอบดีลพิเศษทั้งตั๋วเครื่องบินราคาถูก ที่พักราคาดี ตอกย้ำพันธกิจการเดินทางราคาคุ้มค่าทั่วอาเซียน พร้อมเผย คนไทยเที่ยวในประเทศพุ่ง ไทยควรคว้าประโยชน์ให้ได้
หลังการรีแบรนด์ครั้งใหญ่จาก AirAsia Superapp มาเป็น “MOVE” ในฐานะ Online Travel Agent (OTA) อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 ที่ผ่านมา MOVE ยังคงตอกย้ำพันธกิจการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งและคุ้มค่าที่สุดของอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ทำให้การเดินทางเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ให้ทุกคน “เดินทางมากขึ้นในราคาที่คุ้มค่า” ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจ ด้วยแท็กไลน์ใหม่ “Travel More for Less” เดินหน้ารุกตลาดการท่องเที่ยวสายประหยัด เจาะกลุ่ม “นักเดินทางสายประหยัด” ทั่วภูมิภาค
อ่านเพิ่มเติม airasia Digital รีแบรนด์เป็น MOVE
นาเดีย โอมาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท AirAsia MOVE เปิดเผยถึงที่มาของแคมเปญนี้ซึ่งต่อยอดวิสัยทัศน์ของกรุ๊ปที่มุ่งมั่นปฏิวัติภาคการท่องเที่ยวและบริการทางการเงิน MOVE มุ่งมั่นอย่างชัดเจนที่จะทำให้การเดินทางไม่เพียงแค่เข้าถึงง่ายและราคาจับต้องได้
โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อกระตุ้นให้คนเดินทางมากขึ้นและทำให้ผู้ที่เดินทางอยู่แล้วสามารถเดินทางได้บ่อยขึ้นในงบประมาณที่ถูกลง โดยเธอกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมูลค่าการท่องเที่ยวสายประหยัดในภูมิภาคอาเซียนมีมูลค่าสูงถึง 900 ล้านบาทและจะเติบโตถึง 1,500 พันล้านบาทไทยภายใน 3 ปี ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการหลากหลายอุตสาหกรรมในการร่วมงานกัน
แคมเปญนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่ม “นักเดินทางสายประหยัด” (Budget Traveller) กลุ่มนักเดินทางที่มีงบประมาณจำกัด เช่น กลุ่มชนชั้นกลางถึงล่าง นักศึกษา รวมถึงผู้เกษียณอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ซึ่งจะมีไลฟ์สไตล์และรูปแบบการเดินทางที่แตกต่างกับกลุ่ม ‘นักเดินทางประจำ’ (Frequent Flyers) อยู่เล็กน้อย
“นักเดินทางงบน้อย แม้จะเดินทางน้อยกว่า แต่ให้ความสำคัญกับเงินทุกบาทที่ใช้” นาเดีย กล่าวว่า นักเดินทางยุคใหม่ต้องการมากกว่าแค่ตั๋วเครื่องบิน พวกเขาต้องการความยืดหยุ่น ความเรียบง่าย และความคุ้มค่า กลุ่มนักเดินทางสายประหยัด แม้มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่ยังต้องการประสบการณ์ที่ดีและน่าจดจำในการเดินทาง พวกเขาต้องการสิ่งที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องราคา การเข้าถึงและคุณภาพเช่นเดียวกัน โดยส่วนใหญ่มักจะเดินทางทริปสั้น ๆ ปีละครั้ง โดยใช้เวลาวางแผนเก็บเงินสำหรับทริปนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะใช้เงินทั้งก้อนกับแพลตฟอร์มหรือดีลที่มั่นใจว่าจะคุ้มค่าที่สุด”
นาเดีย กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ MOVE ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะตลาดหลักที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่คึกคักสำหรับนักเดินทางมาโดยตลอด เราจึงให้ความสำคัญกับตลาดนี้อย่างมาก "อย่างไรก็ตามหากพูดถึงภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจะลดลง แต่เราเห็นการฟื้นตัวของประเทศไทยที่ยังคงได้รับประโยชน์จากการเดินทางภายในประเทศ พร้อมทั้งการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่เป็น ‘Hidden Gems’ ในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ"
ในปีนี้เทรนด์การท่องเที่ยวแบบ “Mini Trips” หรือการท่องเที่ยวสั้นๆ เช่น 2 วัน 1 คืน หรือการพักผ่อนใกล้บ้านเดินทางถี่แต่สั้น มีการเติบโตเกือบ 40% โดยพบว่าเมืองรอง เช่น ประจวบฯ อุดรธานี และเชียงรายถูกค้นหาเพิ่มขึ้น ขณะที่ “Staycation” ยังเป็นพฤติกรรมหลักที่เติบโตขึ้นกว่า 15%
ด้านพฤติกรรมการใช้จ่าย พบว่า ค่าโดยสารเฉลี่ยในประเทศอยู่ที่ 2,523.48 บาท ค่าโดยสารเฉลี่ยในต่างประเทศอยู่ที่ 4,130.58 บาท ค่าโรงแรมเฉลี่ยในประเทศอยู่ที่ 3,864.41 บาท ค่าโรงแรมเฉลี่ยต่างประเทศอยู่ที่ 3,409.66 บาท
นอกจากนี้ตัวเลขที่น่าสนใจ คือ กลุ่มอายุ 50-59 ปี นิยมเดินทางช่วงวันหยุดเทศกาลไทยมากขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยช่วงปีใหม่สูงสุดทั้งปีอยู่ที่ 8,086.97 บาทต่อการจอง โดยพบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุเริ่มเรียนรู้การจองทริปออนไลน์ และวางแผนท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนหรือคู่ชีวิตมากขึ้น นับเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต
สำหรับสัดส่วนการท่องเที่ยวบน MOVE พบว่า การท่องเที่ยวในประเทศไทยเกือบ 80% ของการจองทั้งหมดเป็นการเดินทางภายในประเทศ โดย 26.52% จองล่วงหน้าเกิน 1 เดือน และ 18.04% จองเร่งด่วนภายใน 4-7 วันก่อนเดินทาง จุดปลายทางยอดนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ อุดรธานี โดยมี เชียงราย ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี เป็นเมืองดาวรุ่ง
ในส่วนของการท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่สัดส่วนประมาณ 20% โดย 18.25% จองล่วงหน้า 1-2 เดือน จุดหมายปลายทางยอดนิยมพบว่า ญี่ปุ่นยังครองใจนักเดินทางชาวไทย แม้เศรษฐกิจจะซบเซา ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนที่อ่อนค่าลงและมีสายการบินเพิ่มความถี่เที่ยวบินต่อเนื่อง มาเลเซีย จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย
นาเดีย กล่าวเพิ่มเติมถึงแคมเปญในครั้งนี้ว่า กลยุทธ์ราคาและข้อเสนอสุดพิเศษที่มีขึ้นเฉพาะบนแอปฯ (App-exclusive Pricing) ตลอดจนการจัดแพ็กเกจที่รวมตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และกิจกรรมไว้ในที่เดียวกันกลายเป็นทางเลือกสำคัญ เพราะช่วยให้นักเดินทางควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ทำให้ MOVE แตกต่างจากสายการบินอื่น
นักเดินทางจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายแบบเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อจองผ่าน MOVE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจองอย่างเป็นทางการของสายการบินแอร์เอเชีย อาทิ การจองเที่ยวบินแอร์เอเชียแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะได้รับส่วนลดค่าบริการเสริม อาทิ การจองน้ำหนักสัมภาระและอาหารบนเครื่องในราคาถูกลงสูงสุดถึง 15% ส่วนลดค่าจองโรงแรมมูลค่า 230 บาท หรือจะเป็นการสะสมคะแนน AirAsia points และการยกเลิกเที่ยวบินได้อย่างสะดวกผ่านฟีเจอร์ EasyCancel รวมถึง ValuePack สำหรับการเดินทางในภูมิภาค อาทิ Asean International Pass แพ็กเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวในอาเซียนซึ่งเป็นโปรแกรมสมาชิกการเดินทางรูปแบบใหม่แบบ Subscription Model
“เราตั้งเป้าขยายกลุ่มเป้าหมายตามประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคน คนที่ไม่เคยเที่ยวในประเทศ ชวนให้เริ่มต้นจากการไปเชียงใหม่หรือเข้ากรุงเทพฯ คนที่เที่ยวไทยแล้ว ชวนเปิดประสบการณ์ใหม่ในประเทศอาเซียน หรือคนที่เคยเที่ยวอาเซียน กระตุ้นให้ออกเดินทางสู่ยุโรปหรือตะวันออกกลาง” นาเดีย กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้เพื่อตอกย้ำแคมเปญดังกล่าว MOVE ยังได้เปิดตัวลวดลายพิเศษบนลำตัวเครื่องบิน Airbus A320 ของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของแบรนด์และทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ลอยฟ้าสื่อสารคุณค่าของ MOVE และเชื่อมโยงแรงบันดาลใจด้านการเดินทางกับผู้คนทั่วอาเซียน
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -