
จากยุคที่การโพสต์ภาพกระเป๋าแบรนด์หรูในวันเงินเดือนออกคือ สิ่งที่ทำให้รู้สึก “มีตัวตน”สู่ยุคที่การโชว์ตารางออมเงินรายเดือน หรือรีวิวชีวิตมินิมอล ๆ ใน TikTok , IG กลายเป็นคอนเทนต์ไวรัลที่คนแห่แชร์เก็บกันรัว ๆ
ขณะหลายคนบอกว่าคอนเทนต์ “อวดรวย” กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว เพราะความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน มันยากจะหลอกตัวเองได้นาน นี่เองทำให้ จากเมื่อก่อนที่ใครใช้เงินน้อยจะถูกมองว่าจน ทุกวันนี้ใครใช้เงินเก่งเกินไปต่างหาก ที่ถูกมองว่า “ไม่มีแผน”
ตัดมาที่ภาพ เศรษฐกิจวันนี้ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ก็เป็นอีกตัวเร่ง ที่ทำให้ “คนรุ่นใหม่”โดยเฉพาะสาวออฟฟิศที่มีทั้งความฝันและภาระ เริ่มจริงจังกับเป้าหมายการเงินมากขึ้น
ซึ่งไม่ใช่แค่ “อยากเก็บเงินได้” แต่ต้อง “เก็บให้สำเร็จ” เพื่อความมั่นคงในอนาคตที่ใกล้เข้ามาทุกที และที่สำคัญ ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้แค่ประหยัดเงียบ ๆ อีกต่อไป แต่พร้อมจะพูดเสียงดังอย่างภูมิใจว่า ฉันกำลังวางแผนการเงินอย่างจริงจังอยู่
ทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับแนวคิดในการบริหารจัดการเงิน ที่มีชื่อว่า Loud Budgeting เทรนด์การออมเงินแห่งยุค ที่ไม่ได้เน้นการตัดรายจ่ายแบบสุดโต่ง แต่เลือกใช้เงินกับสิ่งที่ “คุ้มค่ากับชีวิตของเรา” จริง ๆ เท่านั้น
ข้อมูลจาก Krungsri The COACH ระบุว่า “Loud Budgeting” คือ วิธีการออมเงินแบบคนยุคใหม่ มีการกำหนดรายจ่ายประเภทต่าง ๆ ใช้จ่ายเพื่อสิ่งสำคัญและสิ่งที่เราให้คุณค่าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าตามเทรนด์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ เก็บออมเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคตและสบายใจที่จะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ถึงการตั้งเป้าหมายการเงินของเรา
การใช้จ่ายเงินในแต่ละเรื่องให้ดูว่าสิ่งที่จ่ายไปคุ้มค่าและมีความจำเป็นแค่ไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เลือกซื้อแต่ของที่ถูกที่สุด แต่ควรเป็นของที่เหมาะสมกับตัวเราและใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ตัดสินใจเลือกแค่ตามกระแสหรือความนิยมในช่วงนั้น Loud Budgeting เน้นวิธีการบริหารเงินตามความเหมาะสม ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพื่อลดความรู้สึกอยากได้อยากมี
หรือในบางครั้งเราอาจถูกเพื่อนฝูงชักชวนให้ไปกินเลี้ยงหรือใช้จ่ายเงินในเรื่องอื่นใดที่ไม่ต้องการ Loud budgeting คือ เหตุผลที่เราสามารถใช้ปฎิเสธเพื่อนได้อย่างตรงไปตรงมา ถ้ารายจ่ายนั้นทำให้เราใช้เงินเกินกว่าที่กำหนดสัดส่วนไว้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย การใช้เงินอย่างสมเหตุสมผลคือสิ่งที่น่าภูมิใจมากกว่า
1. กำหนดสัดส่วนของรายได้แต่ละเดือน
กำหนดสัดส่วนรายจ่ายประเภทต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับตัวเรา เช่น ตั้งงบค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและสิ่งจำเป็น 50% ใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ 30% และแบ่งเป็นเงินออมเงินลงทุนอีก 20% ถ้าเรามีรายได้เดือนละ 25,000 บาท แปลว่าเราจะมีเงินออมเดือนละ 5,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาทเชียวนะ
2. ตั้งเป้าหมายในการเก็บออมเพื่ออนาคต
เพื่อให้เราสามารถเก็บเงินได้โดยไม่เผลอเอาไปใช้เรื่องอื่น จึงควรตั้งเป้าหมายการออมให้ชัดเจน เช่น แผนเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่มีสภาพคล่องสูง แผนออมเงินต่อเนื่องระยะยาวที่ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น รวมถึงแผนการออมเพื่อการลงทุน โดยแต่ละเป้าหมายควรกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการ ระยะเวลาในการเก็บ และจำนวนเงินที่ต้องออมในแต่ละเดือน
3. ประกาศให้คนอื่นรับรู้
อาจจะเป็นพี่น้อง คนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือเพื่อนร่วมงานก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกใจของเรา อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว การแชร์เป้าหมายของเราให้คนอื่นได้รับรู้นั้น จะช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่ประกาศออกไป เป็นแรงผลักดันให้มีโอกาสสำเร็จได้มากขึ้น แถมยังช่วยเป็นแรงกระตุ้นให้กับคนรอบข้างอีกด้วย
ทั้งนี้ Loud Budgeting อาจไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็น Mindset ที่กล้าออกเสียงปฏิเสธเพื่อเป้าหมายทางการเงินที่ใหญ่กว่า ชวนคนไทยตั้งหลักใหม่ในยุคที่ค่าแรงยังเท่าเดิม แต่ค่าครองชีพทะยาน และเหมาะกับคนทำงานรุ่นใหม่ มีภาระเยอะ และต้องการ “เอาตัวรอดอย่างมีศักดิ์ศรี” นั่นเอง
ที่มา : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney