แก่ไปไม่จน รวม 8 เครื่องมือการเงิน สำหรับวัยเกษียณ เริ่มต้นง่าย มีเงินใช้ไม่ขาดมือ

Personal Finance

Financial Planning

Content Partnership

Content Partnership

Tag

แก่ไปไม่จน รวม 8 เครื่องมือการเงิน สำหรับวัยเกษียณ เริ่มต้นง่าย มีเงินใช้ไม่ขาดมือ

Date Time: 27 พ.ค. 2568 13:00 น.
Content Partnership

Summary

  • ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ แต่ระบบบำนาญและการออมยังไม่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ ขณะที่รายจ่ายหลังเกษียณยังดำเนินต่อไปไม่ต่างจากช่วงวัยทำงาน การเตรียมความพร้อมจึงไม่ควรหยุดแค่ "เงินออม" แต่ต้องมี "เครื่องมือทางการเงิน" ที่เหมาะสมและหลากหลาย บทความนี้พาไปรู้จัก 8 เครื่องมือการเงินที่จะช่วยให้ชีวิตหลังเกษียณมั่นคง มีรายได้รองรับ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่าในช่วงบั้นปลายของชีวิต

ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์ใหญ่ด้านการเกษียณ นั่นคือในปี 2568 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” อย่างเต็มตัว ขณะที่ระบบบำนาญในปัจจุบันยังคงครอบคลุมเพียงประมาณ 40% ของกำลังแรงงาน และมีอัตราทดแทนรายได้หลังเกษียณเพียง 30-40% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น กองทุนประกันสังคมซึ่งเป็นหลักประกันสำคัญของแรงงานไทย กำลังเผชิญความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงิน โดยคาดว่าอาจเริ่มประสบปัญหาภายในปี 2577 ขณะเดียวกัน ข้อมูลชี้ว่า คนไทยกว่า 60% ยังไม่มีการวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณอย่างเป็นระบบ


เมื่อการทำงานสิ้นสุดลง รายจ่ายกลับไม่เคยหยุดเดิน

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “วัยเกษียณ” ไม่ใช่เพียงจุดสิ้นสุดของการทำงาน หากแต่เป็นช่วงชีวิตที่จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน เนื่องจากภาระชีวิตยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ ทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าครองชีพ ค่ารักษาพยาบาล และความรับผิดชอบต่อครอบครัว ในวันที่รายได้ประจำหมดลง สิ่งที่ต้องมีไม่ใช่แค่เงินออม แต่คือ “เครื่องมือทางการเงิน” ที่พร้อมรับมือกับอนาคต

ด้วยเหตุนี้ การมี “เครื่องมือทางการเงินสำหรับวัยเกษียณ” จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงช่วยบรรเทาความไม่แน่นอนทางการเงิน แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคง และเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี

วัยเกษียณจึงไม่ใช่จุดจบ แต่คือ “การเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบชีวิตใหม่” ที่ต้องการการวางแผนและการสนับสนุนที่เหมาะสม ในครั้งนี้ Thairath Money พาไปรู้จักกับเครื่องมือทางการเงิน ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

1.กองทุนประกันสังคม

กองทุนประกันสังคม เป็นกองทุนที่รัฐบาลไทยจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้แก่ลูกจ้างที่มีรายได้ในประเทศ โดยใช้บังคับกับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ซึ่งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละเท่า ๆ กัน โดยเงินสมทบที่ได้มาจะถูกนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนและนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน

จุดประสงค์ของกองทุนประกันสังคม เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ประกันตนในกรณีชราภาพ พิการ ทุพพลภาพ เสียชีวิต ว่างงาน คลอดบุตร และกรณีอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดย สิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม เงินบำนาญชราภาพ เงินทดแทนการสูญเสียอวัยวะ เงินชดเชยทุพพลภาพ เงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต เงินทดแทนการเสียชีวิต เงินสงเคราะห์กรณีว่างงาน เงินช่วยเหลือคลอดบุตร และ การรักษาพยาบาล กรณีเจ็บป่วย

2. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปสามารถออมเงินเพื่อการเกษียณอายุได้ โดยไม่ต้องมีนายจ้างหรืออยู่ในระบบประกันสังคม จุดประสงค์ของกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปมีวินัยในการออมเงิน เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายเงินบำนาญให้แก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ ส่วนสิทธิประโยชน์ของกองทุนการออมแห่งชาติ การส่งเงินสะสมของสมาชิกจะต้องออมเริ่มต้น 50 บาทต่อครั้ง สูงสุด 30,000 บาทต่อปี 

● อายุ 15-30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินสะสม สูงสุดไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี

● อายุ >30-50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินสะสม สูงสุดไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี

● อายุ >50-60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินสะสม สูงสุดไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี

หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตาม พ.ร.บ. กอช. กำหนด, ยืดหยุ่นในการออม ไม่ต้องออมเท่ากันทุกปี หรือจะออมรายเดือน

3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) เป็นกองทุนที่ลูกจ้างและนายจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นโดยความสมัครใจ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันให้กับลูกจ้างเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ โดยลูกจ้างจะถูกหักเงินจากเงินเดือนของตัวเองเพื่อนำไปส่งเข้ากองทุนเป็น เงินสะสม ส่วนนายจ้างจะออกเป็น เงินสมทบ ให้กับลูกจ้าง โดยนายจ้างจะจ่ายสมทบในจำนวน 2-15% ของเงินค่าจ้าง

ทั้งเงินสะสมและเงินสมทบจะถูกนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับสมาชิก สุดท้ายสมาชิกก็จะได้รับเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากการลงทุน เมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ

ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

● สร้างวินัยการออม: การหักเงินเดือนส่วนหนึ่งเพื่อนำไปส่งเข้ากองทุน ช่วยสร้างวินัยการออมเงินระยะยาวให้กับลูกจ้าง

● นายจ้างช่วยออม: นายจ้างมีส่วนช่วยในการออมเงินให้กับลูกจ้างโดยการสมทบเพิ่มเติม

● ผลตอบแทนดี: เงินในกองทุนจะถูกนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ซึ่งผลตอบแทนที่ได้อาจจะดีกว่าการฝากเงินเฉย ๆ

● สิทธิประโยชน์ทางภาษี: สมาชิกสามารถนำเงินสะสมและผลประโยชน์จากการลงทุนไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

● สภาพคล่อง: สมาชิกสามารถขอถอนเงินบางส่วนออกจากกองทุนได้ก่อนเกษียณอายุ ในกรณีฉุกเฉิน

4. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) เปรียบเสมือนผู้ช่วยสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณอายุอย่างมีคุณภาพ กองทุนประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองเป้าหมายการเกษียณอายุโดยเฉพาะ โดยมีจุดเด่นหลัก ดังนี้

● สนับสนุนให้มีการออมเงินระยะยาว: RMF มุ่งเน้นให้ลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างวินัยการออม โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนอย่างน้อยปีเว้นปี และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 ปี

● ลดหย่อนภาษีเงินได้: เงินที่ลงทุนใน RMF นั้น สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี

● ผลตอบแทนปลอดภาษี: เมื่อครบอายุ 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินที่ไถ่ถอนจาก RMF นั้น นักลงทุนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

● มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย: RMF มีนโยบายการลงทุนให้เลือกมากมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้

● เริ่มต้นลงทุนได้ง่าย: RMF นั้นไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน สามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุนนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เปรียบเทียบนโยบายการลงทุนของกองทุน RMF แต่ละกองทุน และพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน

5. กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)

กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Funds : SSF) เป็นกองทุนที่รัฐบาลอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวให้กับประชาชน สามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ทุกประเภทไม่กำหนดว่าต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี ซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งจะขายคืนหน่วยลงทุนได้ก็ต่อเมื่อมีระยะเวลาครบ 10 ปีเป็นต้นไปเท่านั้น สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน SSF ได้ระหว่างปี 2563 – 2567 ซึ่งปัจจุบันได้มีการเลิกขายกองทุน SSF ไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงกองทุนปิดตัวลง

เพียงแต่เป็นการปิดรับการลงทุนจากผู้ลงทุนใหม่ แต่กองทุนยังคงดำเนินตามปกติ และมูลค่ากองทุนจะปรับตัวเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ที่เราลงทุนอยู่ เช่น หากเราลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ SSF มูลค่ากองทุนก็จะเคลื่อนไหวตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่หากเราลงทุนในกองทุนหุ้นไทย SSF มูลค่ากองทุนก็จะเคลื่อนไหวตามทิศทางของตลาดหุ้นไทย เป็นต้น

6. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

เป็นสนับสนุนการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังภาครัฐที่ดี โดยมีการจัดสรรงบประมาณรองรับภาระรายจ่ายด้านบำเหน็จบำนาญ อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ข้าราชการสมาชิกมีเงินออมเพียงพอ สำหรับชีวิตหลังเกษียณ

ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกมากกว่า 1 ล้านคน และเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากภาครัฐและประชาชนกบข. คือ ระบบออมเงินเพื่อเกษียณอายุสำหรับข้าราชการ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ปี 2539 สมาชิก กบข. จะต้องหักเงินเดือนส่งเข้ากองทุน 3% และ รัฐจะสมทบให้อีก 3% ซึ่งถือเป็นสวัสดิการข้าราชการอย่างหนึ่ง

โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ

1. เป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญ และให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ

2. ส่งเสริมการออมทรัพย์ ของสมาชิก

3. จัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่น ให้แก่สมาชิก เมื่อสมาชิก กบข. เกษียณอายุจะได้รับเงิน 2 ส่วน คือ

● เงินบำเหน็จบำนาญ คำนวณจากเงินเดือนและระยะเวลาการทำงาน

● เงินก้อน จากเงินสะสม เงินสมทบ เงินประเดิม และเงินชดเชย ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการบริหารเงิน กบข. บริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุน ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งในการบริหารกิจการของกองทุน กำกับดูแลการจัดการกองทุน และกำหนดนโยบายการลงทุนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงต่าง ๆ

7.ประกันบำนาญ

ประกันบำนาญ เป็นการทำประกันระยะยาวพร้อมวางแผนรับเงินบำนาญหลังเกษียณ โดยจะจ่ายเงินให้ผู้รับผลประโยชน์หากผู้ทำประกันเสียชีวิตก่อนถึงอายุเกษียณ (เช่น เสียชีวิตก่อนอายุครบ 55 ปี 60 ปี หรือ 65 ปี เป็นต้น) แต่ถ้าผู้ทำประกันแบบบำนาญยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุเกษียณตามสัญญา ก็จะได้รับผลประโยชน์คงที่ทุกปี (หรือทุกเดือน) เป็นประจำสม่ำเสมอจนกว่าผู้เอาประกันจะเสียชีวิตหรือถึงเวลาที่ระบุในสัญญา บางคนจึงใช้ประกันบำนาญลดหย่อนภาษีประกอบการวางแผนเกษียณด้วย

ข้อดีของการทำประกันบำนาญ

ประกันชีวิตบำนาญถูกออกแบบมาให้คุ้มครองระยะยาว หยุดจ่ายเบี้ยประกันและรอรับเงินบำนาญที่แน่นอนได้เมื่อเกษียณ ไม่ผันผวนตามสภาวะทางเศรษฐกิจ

ข้อจำกัดของการทำประกันบำนาญ

ประกันชีวิตบำนาญไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการลงทุนโดยตรง ดังนั้น ผลตอบแทนที่จ่ายจากประกันชีวิตแบบบำนาญจึงอาจต่ำกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น ลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษี

และเนื่องจากผู้ทำประกันที่มีชีวิตอยู่จนเกษียณมีสิทธิได้รับเงินบำนาญระยะยาวด้วย ความคุ้มครองของประกันบำนาญจึงต่ำกว่าประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา หรือประกันชีวิตแบบตลอดชีพ

ประกันบำนาญเหมาะกับใคร?

ประกันบำนาญลดหย่อนภาษี เหมาะกับผู้เสียภาษีที่ต้องการความคุ้มครองระยะยาว แต่ไม่ต้องการจ่ายเบี้ยประกันทิ้งไปเปล่าๆ และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากประกันชีวิตแบบอื่นๆ เพราะค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี หรืออาจลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี กรณีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด

โดยเงินบำนาญที่จะได้รับเมื่อเกษียณจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท ซึ่งผู้เสียภาษีแต่ละคนจะพิจารณาว่าเงื่อนไขของประกันบำนาญที่ไหนดีกว่ากันดังนั้นควรมั่นใจก่อนว่าต้องการความคุ้มครองที่ลดหย่อนภาษีได้ก่อนเกษียณและรับเงินบำนาญเมื่อถึงวัยเกษียณ แล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำประกันแบบบำนาญที่ไหนดี

8.พันธบัตรเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณ (Retirement Security Bonds - RSB)

คือพันธบัตรที่ออกแบบเฉพาะเพื่อสร้างรายได้ในวัยเกษียณ โดยเน้นความมั่นคงของรายได้มากกว่ามูลค่าทรัพย์สิน มีลักษณะเด่นคือเริ่มจ่ายเมื่อถึงวันเกษียณ จ่ายผลตอบแทนเท่ากันทุกปี นาน 20-25 ปี ปรับตามดัชนีเงินเฟ้อและ GDP ต่อหัว มูลค่าเริ่มต้นต่ำ และการคำนวณผลตอบแทนทำได้ง่าย ทำให้เหมาะกับผู้ลงทุนทุกระดับโดยเฉพาะแรงงานนอกระบบซึ่งมีประมาณ 21 ล้านคนในไทย

RSB มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งการเพิ่มความครอบคลุมระบบบำนาญ ลดความซับซ้อนในการวางแผนเกษียณ จัดการความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการลงทุนต่อ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและตลาดทุนของประเทศ ปัจจัยความสำเร็จในการนำ RSB มาใช้ในไทยประกอบด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ การให้ความรู้และการเข้าถึง การบูรณาการกับระบบบำนาญที่มีอยู่ และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่โปร่งใส

หลายประเทศได้นำ RSB มาใช้แล้วอย่างประสบความสำเร็จ ทั้งบราซิลที่มีมูลค่าเริ่มต้นต่ำเพียง 175 บาท เกาหลีใต้ที่เพิ่มความครอบคลุมได้ 20% ออสเตรเลียที่ลดความเสี่ยงจากการมีอายุยืน และอินเดียที่เน้นการเข้าถึงผ่านมือถือจนมีนักลงทุนรายย่อยกว่า 1 ล้านคน โดย 85% เป็นผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาก่อน การนำ RSB มาใช้ในไทยจะเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบการเงินเพื่อวัยเกษียณและช่วยให้ประเทศรับมือกับสังคมผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน

เกษียณไม่ใช่จุดจบ...แต่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่คุณเลือกได้

อ้างอิง chubbSETTisco


Author

Content Partnership

Content Partnership