
คนไทยทั้งประเทศ จ่ายภาษีไปเท่าไหร่ ?
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่รัฐจัดเก็บจาก บุคคลธรรมดา ที่มีรายได้ในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการทำงาน เงินเดือน ค่าจ้าง การประกอบธุรกิจ หรืออื่น ๆ สรุปอย่างง่าย คือ “ภาษีที่คนมีรายได้ต้องจ่ายให้รัฐ ตามรายได้สุทธิในแต่ละปี”
คนไทยที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 120,000 บาท หรือเดือนละ 10,000 บาท มีหน้าที่ต้องทำการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นประจำทุกปี
จากสถิติผลการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากรในระยะ 3 ปีย้อนหลัง พบข้อมูลดังนี้
- ปีงบประมาณ 2565 เป็นจำนวนเงิน 367,969.51 ล้านบาท
- ปีงบประมาณ 2566 เป็นจำนวนเงิน 395,743.92 ล้านบาท
- ปีงบประมาณ 2567 เป็นจำนวนเงิน 415,424.48 ล้านบาท
แม้ว่าจำนวนเงินภาษีที่กรมสรรพากรได้รับ จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ ทำให้คนไทยหลายคนยังติดกับดัก “ความกลัวภาษี” ทำให้จำนวนผู้ยื่นภาษียังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานในระบบทั้งหมด แม้ในบางกรณีไม่ได้มีเจตนาจะหลบเลี่ยง แต่คือความด้อยความรู้เรื่อง “ภาษี” ส่งผลให้ปัจจุบันยังคงมีกลุ่มช่วงอายุหนึ่งที่เป็นผู้แบกรับภาระภาษีอยู่เสมอ
ซึ่งผลพวงของสถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพใหญ่ แต่เป็นการสร้างภาระหนี้สินโดยไม่รู้ตัว เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากโดนเรียกเก็บย้อนหลัง อาจจะเสียไม่คุ้มจ่าย
เพราะแม้ว่าเราจะไม่ยื่นภาษี แต่กรมสรรพากรก็ตามเจออยู่ดี เพราะยังคงมีสิทธิตรวจสอบย้อนหลังได้ถึง 5 ปี จึงเกิดเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นกันเป็นประจำ กับกรณีพ่อค้า แม่ค้า หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่อาจละเลยเรื่องภาษี จนทำให้เรียกเก็บย้อนหลังเป็นเงินจำนวนมาก
โดยระยะเวลาในการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังบุคคลธรรมดา มีอายุความตามหมายเรียก ภายใน 2 ปี นับจากวันที่ยื่นภาษี แต่หากพบว่า มีเหตุจงใจหลีกเลี่ยงภาษี จะสามารถขยายเวลาอายุความออกไปได้ 5 ปี
และในกรณีที่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ส่งผลให้ถูกตรวจพบภายหลัง จะมีการเรียกเก็บย้อนหลัง โดยยึดเอาตามระยะเวลาอายุความทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่นับเป็นระยะเวลา 10 ปี
ดังนั้น การยื่นภาษีจึงไม่ใช่แค่เพียงแค่ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล แต่คือความรับผิดชอบของพลเมืองตามกฎหมาย และเป็นบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การยื่นภาษีมักมาควบคู่กับ “การลดหย่อนภาษี” ซึ่งหมายถึง รายการที่กฎหมายภาษีกำหนดให้ผู้มีเงินได้ สามารถหักออกจากรายได้ ก่อนนำไปคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย สำหรับปีภาษี 2567 (ยื่นแบบในปี 2568) พบข้อมูลแบ่งสิทธิลดหย่อนภาษี ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่
1. ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
● ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
● คู่สมรสไม่มีรายได้: 60,000 บาท
● บุตร: 30,000 บาท/คน (60,000 บาท สำหรับบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดหลังปี 2561)
● บิดามารดา: 30,000 บาท/คน (ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี)
● ผู้พิการ/ทุพพลภาพที่ดูแล: 60,000 บาท/คน
● ค่าคลอดบุตรและฝากครรภ์: ไม่เกิน 60,000 บาท
2. ประกันและการออมเพื่ออนาคต
● ประกันชีวิต: ไม่เกิน 100,000 บาท
● ประกันสุขภาพตนเอง: ไม่เกิน 25,000 บาท
● ประกันสุขภาพพ่อแม่: ไม่เกิน 15,000 บาท
● ประกันชีวิตแบบบำนาญ: ไม่เกิน 200,000 บาท
● ประกันสังคม : ไม่เกิน 9,000 บาท
● กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): ไม่เกิน 200,000 บาท
● กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): ไม่เกิน 500,000 บาท (รวมทุกกองทุนเพื่อการเกษียณ)
● กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กบข., กอช.: ลดหย่อนรวมได้ไม่เกิน 500,000 บาท
● กองทุน Thai ESG: ไม่เกิน 300,000 บาท
3. ดอกเบี้ยบ้านและประกันสังคม
● ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน: ไม่เกิน 100,000 บาท
● เงินสมทบประกันสังคม: สูงสุด 9,000 บาท
4. บริจาคเพื่อสังคม
● เงินบริจาคทั่วไป: ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
● เงินบริจาคเพื่อการศึกษา/สาธารณสุข: ลดหย่อนได้ 2 เท่า (แต่ไม่เกิน 10%)
● เงินบริจาค e-Donation: ลดหย่อนได้ 2 เท่า
● บริจาคพรรคการเมือง: ไม่เกิน 10,000 บาท
5. มาตรการพิเศษจากรัฐ
● โครงการ Easy E-Receipt 2.0 : ลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้า/บริการที่มีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่าง 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2568
● ท่องเที่ยวเมืองรอง: ลดหย่อนสูงสุด 15,000 บาท (เดินทาง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 และมีใบเสร็จถูกต้อง)
● การวางแผนภาษีคือรากฐานของการจัดการเงินอย่างมีระบบ เมื่อเรารู้ล่วงหน้าว่าต้องจ่ายภาษีเท่าไร จะออมอย่างไร หรือลงทุนแบบไหนถึงจะลดหย่อนได้ ก็จะช่วยให้การบริหารเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพฤติกรรมเหล่านี้จะนำไปสู่ความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว