
การลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปสำหรับคนไทย ด้วยช่องทางการเรียนรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายขึ้น รวมถึงการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการวางแผนการเงินส่วนบุคคลที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ช่วยลดข้อจำกัดและทำให้การสร้างความมั่งคั่งผ่านการลงทุน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ที่มีเงินทุนสูง หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอีกต่อไป
ดังนั้น การลงทุนจึงเป็นโอกาสสำหรับทุกคนที่มุ่งหวังความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินในระยะยาว ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา พบว่าจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนักลงทุนกลุ่ม Gen Y ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดในตลาดหุ้นไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า จำนวนบัญชีหลักทรัพย์มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักลงทุน โดยจำนวนบัญชีหลักทรัพย์ทั้งหมด ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 6,482,313 บัญชี เติบโตขึ้น 84.57% จากสิ้นปี 2563 ที่มี 3,513,997 บัญชี
ขณะที่จำนวนนักลงทุนบุคคลธรรมดาที่ไม่ซ้ำกันในตลาดหุ้นไทยเติบโตก็อย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวนนักลงทุน 3,172,911 ราย คิดเป็นการเติบโตสูงถึง 110.67% จาก ณ สิ้นปี 2563 ที่มีจำนวนนักลงทุน 1,506,068 ราย ภายในระยะเวลาประมาณ 5 ปีเศษ แสดงให้เห็นถึงความสนใจในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่ประชาชนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงบัญชีที่มีการซื้อขายจริง (Active Accounts) หรือบัญชีที่มีการซื้อขายภายใน 1 เดือน กลับพบภาพที่แตกต่าง โดยจำนวนบัญชี Active ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 384,290 บัญชี ลดลง 25.94% จากสิ้นปี 2563 ที่มี 518,905 บัญชี
แม้จะมีผู้สนใจเปิดบัญชีลงทุนจำนวนมาก แต่สัดส่วนของผู้ที่ทำการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอลดลง ซึ่งอาจมีปัจจัยมาจากสภาวะตลาดที่ผันผวน หรือนักลงทุนบางส่วนอาจพักการลงทุนชั่วคราว
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ นักลงทุนกลุ่ม Gen Y มีสัดส่วนมากที่สุดในตลาดหุ้นไทยถึง 49-51% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนกลุ่ม Gen Z ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงสิ้นปี 2567 มีสัดส่วนถึง 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด
นอกจากนี้ จากข้อมูลสัดส่วนนักลงทุนตามภูมิภาค พบว่าการลงทุนกระจายสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น แม้กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงเป็นฐานนักลงทุนหลัก แต่สัดส่วนลดลงเล็กน้อย จาก 63% ในปี 2563 เป็น 53% ในปี 2567 ขณะที่นักลงทุนในต่างจังหวัด มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 37% ในปี 2563 เป็น 47% ในปี 2567 สะท้อนถึงการเข้าถึงการลงทุนที่แพร่หลายมากขึ้นทั่วประเทศ
เมื่อพิจารณาสถิติการซื้อขายหุ้นไทยย้อนหลัง 5 ปี (ปี 2563 ถึง 15 พฤษภาคม 2568) พบว่านักลงทุนรายย่อยนับว่ามีบทบาทสำคัญ จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยยังคงมีความเชื่อมั่นและใส่เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิหุ้นไทยรวม 440,658.65 ล้านบาท สัดส่วนมูลค่าซื้อขายของรายย่อย คิดเป็น 37.69% ของมูลค่าซื้อขายทั้งตลาด แบ่งเป็น
การเพิ่มขึ้นของนักลงทุนรายย่อย จากกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่เข้ามามีบทบาทกับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ทำให้มีฐานนักลงทุนที่กว้างขึ้นและเด็กลง ซึ่งเป็นผลดีต่อสภาพคล่องและการพัฒนาตลาดในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การที่จำนวนบัญชี Active ลดลงสวนทางกับจำนวนบัญชีที่เปิดใหม่ เป็นโจทย์ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ ทั้งการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่ถูกต้อง การสร้างเครื่องมือที่ตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่ และการรักษาสภาพตลาดให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อการลงทุนของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ สามารถเติบโตและสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดทุนไทยได้อย่างแท้จริง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney