วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยผลวิจัย “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม” พบว่า หลังจากที่สมรสเท่าเทียมได้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้วนั้น อัตราการใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นและมีโอกาสที่ผลักดันให้ธุรกิจในประเทศเติบโต และกลายเป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจใหม่ที่น่าจับตา โดยมีการคาดว่า กลุ่ม LGBTQIA+ จะกระตุ้น GDP ไทยให้โตขึ้นประมาณ 0.3% และสร้างรายได้เพิ่มกว่า 152,000 ล้านบาท
จากงานวิจัยพบว่าหลังจากที่สมรสเท่าเทียมได้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้วนั้น อัตราการใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นและมีโอกาสที่ผลักดันให้ธุรกิจในประเทศเติบโตมากขึ้นเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาพักพิงในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นถึง 4 ล้านคน
นอกจากนี้ LGBTQIA+ ที่นับเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงและพร้อมที่จะ “จ่ายหนัก - จ่ายจริง” โดยเฉพาะในกลุ่ม 6 ธุรกิจ ประกอบด้วย จัดงานแต่ง, ท่องเที่ยว, อสังหาฯ, วางแผนครอบครัว, ประกันและสุขภาพ รวมไปถึงบริการทางกฎหมาย
กลุ่ม LGBTQIA+ เลือกซื้อสินค้าและบริการโดยไม่ได้มองเพียงแค่เรื่อง “คุณภาพ” หรือ “ราคา” เท่านั้น หากแต่ยังให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงตัวตน การได้รับการยอมรับจากแบรนด์ที่มีความเข้าใจและเคารพความหลากหลายอย่างแท้จริง ซึ่งหากแบรนด์สามารถสร้างสินค้าหรือบริการที่ชาว LGBTQIA+ พึงพอใจและประทับใจได้ ก็จะสามารถสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวได้เช่นกัน
นายปกรณ์ รัตนชวนนท์ หัวหน้าทีมวิจัย “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม” เผยผลสำรวจที่สะท้อนพฤติกรรมการใช้จ่ายและ 6 ธุรกิจที่เติบโตมากขึ้นจากกลุ่ม LGBTQIA+ ดังนี้
จากผลสำรวจพบว่า 56.1% ของกลุ่ม LGBTQIA+ อยากจัดงานแต่งงาน โดยมีกลุ่มเลสเบี้ยนสนใจจดทะเบียนสมรสมากถึง 50.4% และมากกว่า 66.4% ของคู่รักเพศเดียวกันต้องการจดทะเบียนสมรส ซึ่งสอดคล้องกับสถิติการจดทะเบียนสมรสในวันแรกของการบังคับใช้กฎหมาย
อีกทั้งยังพบว่ากลุ่ม LGBTQIA+ นิยมจัดงานที่โรงแรม 48.7% ซึ่งเป็นกลุ่ม Gay Gen Z มากที่สุดถึง 64.9% และนิยมจัดงานขนาดกลาง (50-100 คน) ถึง 54.4% โดยมีงบประมาณในการจัดงานประมาณ 300,000-500,000 บาท ในขณะที่ 4.7% มีการวางแผนใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่ม Gay Gen Z ซึ่งมีสัดส่วนการใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่ม Gay Gen Y
กลุ่ม LGBTQIA+ มีความสนใจและวางแผนไปฮันนีมูนหลังแต่งงาน 51.8% โดยมีเลสเบี้ยนสูงถึง 35.2% ที่ชื่นชอบการไปฮันนีมูน และเลสเบี้ยน Gen Y นิยมไปฮันนีมูนในเอเชียมากที่สุด 46.9% รองลงไปคือภายในประเทศ 32% และยุโรป 21.1% สำหรับที่พักที่นิยมสำหรับฮันนีมูน คือ Private Villa 40.6% ตามมาด้วยโรงแรมหรู 31.3% โดยกลุ่ม Gay Gen Y นิยมโรงแรมมากกว่ากลุ่มอื่น
ผลวิจัยยังระบุอีกว่ากลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายในการท่องเที่ยว 20,000-50,000 บาทต่อปี และมีค่าเฉลี่ยท่องเที่ยว 3-5 ครั้งต่อปี โดย 54% ของกลุ่ม Gay Gen Z ชอบให้เอเจนซี่วางแผนฮันนีมูนให้มากกว่าวางแผนด้วยตัวเอง ขณะที่ 33% ของกลุ่ม Gay Gen Z นิยมเลือกจุดหมายปลายทางประเภท Beach & Sea
กลุ่ม LGBTQIA+ วางแผนมีบุตรภายใน 2 ปีหลังแต่งงานมากถึง 54% โดยกลุ่ม Lesbian Gen Z มีความต้องการมีบุตรสูงที่สุด และกลุ่ม Gay Gen Z 16.1% มีความคาดหวังที่จะมีบุตรมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
และจากผลวิจัยยังพบว่า 12.9% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการใช้บริการธนาคารฝากเซลล์สืบพันธุ์ในการมีบุตร โดยทางเลือกในการมีบุตรของกลุ่ม LGBTQIA+ นั้นมีความหลากหลาย อาทิ การปฏิสนธินอกร่างกาย (IVF) ที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 300,000-500,000 บาท และการตั้งครรภ์แทน โดยค่าใช้จ่ายสูงถึง 1-2.5 ล้านบาทหรืออาจมากกว่านั้น ในขณะที่การรับบุตรบุญธรรมมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าทางเลือกอื่น ๆ ด้วยค่าใช้จ่ายราว 5,000-10,000 บาท
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการมีบุตรของกลุ่ม LGBTQIA+ นั้นสอดคล้องกับงบประมาณที่วางแผนไว้ที่ประมาณ 500,000-1,000,000 บาท
จากการวิจัยพบว่า ด้วยพฤติกรรมการซื้อของกลุ่ม LGBTQIA+ ที่พร้อมควักกระเป๋าซื้อบ้านเดี่ยว - คอนโดดันอสังหาฯ ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาโตมากขึ้น 15-20% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก 54% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดย 79.1% ของกลุ่ม LGBTQIA+ เลือกซื้อที่อยู่เป็นบ้านเดี่ยว และ 20.9% เลือกย้ายไปอยู่กับคู่รัก โดยมีงบประมาณเฉลี่ย 3-5 ล้านบาท
ในขณะที่กลุ่ม Lesbian Gen Z สนใจซื้อคอนโดมิเนียมสูงถึง 44% ส่วนกลุ่ม Gay Gen Z และ Others Gen Z สนใจบ้านเดี่ยวมากกว่าที่ 40% โดยผลการวิจัยยังพบว่า 55% ของชาว LGBTQIA+ เลือกที่อยู่อาศัยโดยให้ความสำคัญกับ "ทำเลและความปลอดภัย" เป็นหลัก โดย 30% ของ Gay Gen Z เลือกทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า และ 56% มีแนวโน้มกระจายตัวอาศัยนอกเขตธุรกิจ
อีกทั้ง ในด้านการวางแผนการเงินพบว่ากลุ่ม Lesbian วางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศัยสูงที่สุด ขณะที่กลุ่ม Gay วางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะมากที่สุด และ 2.9% ของกลุ่ม Others วางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุและแปลงเพศ
48.6% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายกับประกันในช่วง 10,000-30,000 บาทต่อปี โดยประกันสุขภาพเป็นที่ต้องการของกลุ่ม Gay Gen Y มากที่สุด ประกันชีวิตแบบระบุผู้รับผลประโยชน์เป็นที่ต้องการของกลุ่ม Lesbian Gen Y มากที่สุด และประกันการเดินทางเป็นที่ต้องการของกลุ่ม Gay Gen Z มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในการท่องเที่ยว
ทั้งยังพบว่ากลุ่มเลสเบี้ยนสนใจบริการศัลยกรรมแปลงเพศ 8.7% มากกว่ากลุ่ม Gay ที่สนใจเพียง 3.5% และยังมีความต้องการบริการด้านสุขภาพจิต บริการด้านสุขภาพทางเพศสำหรับ LGBTQIA+ และการตรวจสุขภาพทั่วไปอีกด้วย
จากผลสำรวจพบว่า 77% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้ปัจจัยด้านราคาและคุณภาพเป็นเหตุผลในการตัดสินใจซื้อโดยกลุ่ม Gay Gen Y เน้น "คุณภาพ" มากกว่า "ราคา" และกลุ่ม Others Gen Y กว่า 61% เป็นกลุ่ม "Price-Sensitive" ที่อ่อนไหวต่อราคา
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า 23% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้ประสบการณ์ด้านบริการเป็นเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ โดยบริการที่เป็นที่ต้องการในกลุ่ม LGBTQIA+ ได้แก่ บริการให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย บริการการวางแผนครอบครัวและการมีบุตร รวมถึงบริการแพทย์เฉพาะทาง/คลินิกพิเศษเฉพาะกลุ่ม
ทั้งนี้ยังพบว่ากลุ่ม Lesbian Gen Z นิยมออกเดทมากถึง 77.8% และกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000-5,000 บาทต่อเดือนในการออกเดท โดย 22.46% มีการใช้จ่ายสูงกว่า 5,000 บาทต่อเดือน
พฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่ม LGBTQIA+ จากข้อมูลทั้ง 6 ด้านข้างต้น สะท้อนให้เห็นกำลังการซื้อที่มากของกลุ่มที่เปรียบเหมือน “ขุมพลังทางเศรษฐกิจใหม่” ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์จากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ว่าอัตราการใช้จ่ายในประเทศอาจเพิ่มขึ้นสูงกว่า 152,000 ล้านบาทและส่งผลให้ GDP ไทยเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของกลุ่ม LGBTQIA+ หลัง พ.ร.บ สมรสเท่าเทียมถูกประกาศให้บังคับใช้อย่างเป็นทางการ อีกทั้งการที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ติดอันดับ Top Quartile ของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อ LGBTQIA+ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศไทยอย่างมหาศาล
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance