แม้ตัวเลข "หนี้ครัวเรือนไทย” ต่อ GDP จะปรับตัวลดลงตามรายงานทางเศรษฐกิจ โดย ล่าสุด มาอยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท หรือ 89% ต่อ GDP
แต่ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่กลับไม่ได้สดใสอย่างที่ตัวเลขบอกไว้ เพราะภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่กดดัน คนไทยจำนวนไม่น้อยยังคงเผชิญปัญหาหนี้สินเรื้อรังอย่างหนัก ทั้งการผิดนัดชำระหนี้ การถูกยึดทรัพย์ รวมถึงภาระหนี้บัตรเครดิตที่พุ่งไม่หยุด
ยิ่งไปกว่านั้น ความลำบากทางการเงินยังเปิดช่องให้มิจฉาชีพใช้กลอุบายหลอกลวงในคราบ “คนช่วยปลดหนี้” กวาดเงินจากเหยื่อที่หวังทางออกสุดท้ายไปกว่า 3,000 ล้านบาท
จากรายงานล่าสุดของสภาพัฒน์ เผยว่า แม้หนี้สินครัวเรือนไทย ปี 2567 จะขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการที่แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เช่น
ทั้งนี้ ในข้อมูลชุดเดียวกัน พบว่า นอกจากสินเชื่อยานยนต์ จะหดตัวรุนแรง ตามยอดขายทั้งรถยนต์ และ รถจักรยานยนต์ และมีการถูกยึดรถที่มากขึ้นด้วย ส่วนบัตรเครดิต ซึ่งหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาสแล้ว อัตราหนี้เสียของสินเชื่อบัตรเครดิต ก็เพิ่มขึ้น อย่างน่ากังวล สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของคนไทย อีกด้วย
โดยในไตรมาสสาม ปี 2567 จาก ข้อมูลบริษัท ข้อมูล เครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร พบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท ขยายตัว 14.1% หรือคิดเป็นสัดส่วน 8.78 %ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 8.48 % ของไตรมาสที่ผ่านมา
สัดส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อเพื่อการเกษตร ขณะ สินเชื่อบัตรเครดิตเป็นสินเชื่อที่ครัวเรือนมีการผิดนัดชำระหนี้มากที่สุด สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ NPLs ต่อสินเชื่อรวม ที่สูงถึง 12.58 % รองลงมาเป็น สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ตามลำดับ
ความน่ากังวลต่อเนื่องจากเรื่องดังกล่าว สภาพัฒน์ฯ ยังพบว่า จากภาระ หนี้สินที่ลูกหนี้ต้องเผชิญ ทำให้ “ลูกหนี้” พยายามหาทางออกเพื่อหลุดพ้นจากภาระหนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งบางส่วนเลือก พึ่งพากลไกแก้ไขหนี้ผ่านช่องทางอื่น ประกอบกับคนไทย บางส่วนยังมีปัญหาความรู้ทางเงิน ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อทรัพย์สิน รวมถึงปัญหาหนี้ไม่ได้รับการแก้ไข
เช่น กรณีการหลอกปิดหนี้ ที่มีมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น มากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งมิจฉาชีพจะออกอุบายผ่าน คำโฆษณาชวนเชื่อ11 อาทิ “ปิดหนี้ให้” “ไม่คิดดอก” “ดอกต่ำมาก” หรือกรณีที่เข้ามาช่วยปิดหนี้ให้แล้วชักชวน ให้ลงทุนต่อผ่านการลงทุนกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่ดิน ฯลฯ
โดยจะขอเอกสารของลูกหนี้ไปยื่นกู้กับธนาคาร และเมื่อได้รับอนุมัติเงินกู้จะหนีหายไป จนสุดท้ายลูกหนี้ มีหนี้เพิ่มขึ้น จึงต้องสร้างความตระหนักรู้แก่ลูกหนี้ ทั้งความรู้ทางการเงินที่จำเป็น และแนวทางที่ใช้บริหาร จัดการหนี้สิน รวมถึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการป้องกันภัยทางการเงินข้างต้นด้วย
ที่มา : สภาพัฒน์
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney