
เงินบาทแข็งโป๊ก 29.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในรอบเกือบ 1 ปี คาดว่าแบงก์ชาติเข้ามาแทรกแซง ก่อนจะเด้งกลับไปเหนือ 30 บาท ด้านไทยพาณิชย์ มองสิ้นปีหน้าค่าเงินบาทวิ่งแตะ 29.50 บาท ส่วนเศรษฐกิจไทยรับอานิสงส์รัฐอัดงบพยุงจีดีพีโต 3.8%
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบค่าเงินยูโรได้อ่อนค่าลง ถือเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าหลุด 30.00 บาทต่อดอลลาร์โดยไปแตะที่ 29.98 บาทต่อดอลลาร์ ในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะมาแรงซื้อกลับเข้ามา โดยเชื่อว่าเป็นการเข้ามาดูแลค่าเงินบาทของทางการ ทำให้ค่าเงินกลับไปเคลื่อนไหวอยู่ที่ 30.00-30.02 บาทต่อดอลลาร์
“ปกติเมื่อค่าเงินบาทหลุดแนวรับสำคัญที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าหลุดแนวต้านทางจิตวิทยา ก็จะเกิดอาการตกใจของผู้ส่งออก แรงเทขายดอลลาร์สหรัฐฯ จนค่าเงินแข็งค่าขึ้นมาก แต่ในรอบนี้เมื่อหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ ไปแตะที่ 29.98 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีแรงซื้อเข้ามายันเอาไว้ จนค่าเงินบาทกลับไปเคลื่อนไหวที่ 30.00-30.02 บาทต่อดอลลาร์ เชื่อว่าทางการจะดูแลค่าเงินไม่ให้หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ไปอีกระยะหนึ่ง”
นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สาย ตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก และเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตั้งแต่เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.5% เทียบกับเงินวอนเกาหลีใต้ที่แข็งค่าขึ้น 4.5% และเงินรูเปียห์อินโดนีเซียที่แข็งค่า 3.9% อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับต้นปี เงินบาทยังอ่อนค่าอยู่เล็กน้อย ประมาณ 0.4%
“ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท และได้เข้าดูแลเพื่อชะลอความผันผวนที่จะกระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง รวมถึงจะติดตามสถานการณ์ในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด”
ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2564 คาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในช่วง 29.50-30.50 บาทต่อดอลลาร์ จากสิ้นปีนี้ 30.00-30.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นผลจากแนวโน้มอ่อนค่าลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนความขัดแย้งทางการค้าที่แม้จะดำเนินต่อไป แต่น่าจะลดความผันผวนลง และการขาดดุลทางการคลังที่มากขึ้นของสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นในระยะต่อไป
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดจะขยายตัวที่ 3.8% ดีขึ้นจากเดิมที่คาดขยายตัว 3.5% โดยมาจากฐานที่ต่ำในปีนี้ รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เม็ดเงินของภาครัฐทั้งจากในงบประมาณ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการกระจายวัคซีนในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ผลของแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (scarring effects) จะยังคงกดดันการฟื้นตัวของอุปสงค์ภาคเอกชน
ทั้งนี้ คาดว่าการใช้จ่ายเงินภาครัฐจะมีจำนวนมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี 9.8% จากเดิมคาด 8.9% นอกจากนี้ ยังมีวงเงินเหลือจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท อีกประมาณ 500,000 ล้านบาท ที่รัฐสามารถใช้ได้ในปี 2564 และล่าสุดที่รัฐบาลได้ออกมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 2 และให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมกับผู้ถือบัตรสวัสดิการ รวมถึงขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกัน โดยเป็นสัญญาณว่ารัฐยังพร้อมใช้มาตรการเพื่อพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง
นายยรรยงกล่าวอีกว่า ในภาคส่งออกของไทย มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวที่ 4.7% จากเดิม 4.9% ตามทิศทางเศรษฐกิจ และการค้าโลก ส่วนเศรษฐกิจไทยในปีนี้หดตัวลบ 6.5% จากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 7.8%.