
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2563 เป็นปีที่รัฐบาลตั้งงบเพื่อชำระหนี้เงินต้นของรัฐบาลสูงสุดเท่าที่ผ่านมา โดยตั้งไว้ที่ 3% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย ซึ่งวงเงินชำระหนี้เงินต้นดังกล่าวเป็นระดับที่ สบน.ต้องการรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการคลังของรัฐบาลไว้ ส่วนในปีงบประมาณ 2563 ที่จะสิ้นสุดในปลายเดือน ก.ย.นี้นั้น รัฐบาลได้ตั้งงบเพื่อการชำระหนี้เงินต้นอยู่ที่ 2.68% แต่หลังจากมีการออกกฎหมายโอนงบประมาณเพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาโควิด-19 ทำให้งบประมาณเพื่อการชำระหนี้เงินต้นของรัฐบาลในปีงบประมาณนี้ เหลืออยู่ที่ 1.68% เท่านั้น
ทั้งนี้ ตามกรอบวินัยการเงินการคลังที่ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐปี 2561 ได้กำหนดกรอบงบชำระหนี้เงินต้นของรัฐบาลว่าจะต้องอยู่ระหว่าง 2.5-3.5%
“แม้ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มวงเงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีนี้อีก 214,000 ล้านบาท แต่ฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ โดยปัจจัยที่บ่งชี้ถึงเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลที่สำคัญคือ ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายของรัฐอยู่ที่ 5-6% เท่านั้น จากตามมาตรฐานสากลกำหนดไว้ไม่ควรเกิน 10%”
ทั้งนี้ หากรัฐบาลกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และกู้เงินชดเชยขาดดุลในปีงบประมาณนี้อีก 214,000 ล้านบาทเต็มวงเงินดังกล่าว จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 57.8% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งยังไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ ส่วนระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลจะปรับขึ้นจนไปเกินเพดานที่ตั้งไว้ 60% หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะมีการกู้เพิ่มเติมอีกหรือไม่
นางแพตริเซีย กล่าวอีกว่า เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ในปัจจุบันมีการกู้เงินไปแล้ว 33% ของวงเงินดังกล่าว ซึ่งเดิม สบน.คาดว่าจนถึงสิ้น ปีงบประมาณ 2563 หรือสิ้นเดือน ก.ย.นี้ จะกู้เงินได้ถึง 600,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากรัฐบาลได้นำงบกลางมาใช้เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจบางส่วน ทำให้การใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ลดลงเหลือ 450,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 550,000 ล้านบาท จะกู้ในปีงบประมาณหน้า.