
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประชาชนผู้ฝากเงินเกิดความสับสนและตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เมื่อกรมสรรพากรเตรียมจะเก็บดอกเบี้ยเงินฝากจากทุกบัญชี จากเดิมที่เว้นภาษีสำหรับดอกเบี้ยเงินฝากบัญชีออมทรัพย์ ที่ไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี
ล่าสุด นายปิ่นสาย สุรัสวดี โฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรเตรียมแก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเก็บภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ 15% คาดว่าจะออกประกาศใหม่ได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยจะแก้ไขในประเด็นการแสดงความยินยอมส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งยอมรับว่าตามประกาศเดิมสร้างความยุ่งยาก และกระทบกับคนจำนวนมาก จะแยกให้ชัดเจนระหว่างแสดงความยินยอมส่งข้อมูลกับการเสียภาษี เพราะหากมาแสดงตัวว่าไม่ต้องการให้ส่งข้อมูล แต่ถ้าดอกเบี้ยเข้าเกณฑ์ ต้องเสียภาษีตามปกติ
ทั้งสมาคมธนาคารไทย เสนอให้มีการเลื่อนการบังคับใช้ประกาศออกไป เพราะมีผู้ได้รับผลกระทบมาก โดยได้หารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในเรื่องการแสดงความยินยอมส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อให้กระทบกับผู้ฝากเงินส่วนใหญ่น้อยที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม 99% ที่มีดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไม่ถึง 20,000 บาทต่อปี ต้องหาวิธีแสดงความยินยอมที่มีความยืดหยุ่น เช่น ให้กลุ่มที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากมากกว่า 20,000 บาทต่อปี ซึ่งมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% มาลงทะเบียนแสดงความไม่ยินยอมให้ส่งข้อมูลบัญชีเงินฝากแทน ทำให้ผู้ฝากเงินกว่า 99% ไม่ต้องแสดงตน และได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากเหมือนเดิม
ด้านนายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีลูกค้าบัญชีเงินฝากกว่า 80 ล้านบัญชี หากให้ลูกค้ามาแสดงความยินยอมส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากทั้งหมด คาดว่าจะไม่ทันในรอบการจ่ายดอกเบี้ย มิ.ย.นี้ และจะมีลูกค้าส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากประกาศของกรมสรรพากร ทำให้ถูกหักภาษีดอกเบี้ยเงินฝากจากทุกบัญชีทันที จึงเสนอว่าถ้าหากไม่สามารถเลื่อนเวลาบังคับใช้ประกาศออกไปได้ กรมสรรพากรจะมีวิธีการยืดหยุ่นหลักเกณฑ์ในการแสดงความยินยอมของลูกค้าบัญชีเงินฝากด้วยวิธีใดได้บ้าง โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
พร้อมหาวิธีการให้ลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่สามารถมาแสดงความยินยอมได้ จะทำแบบรายการแสดงความยินยอมแบบเดียวเพื่อใช้กับทุกธนาคาร และจะแสดงความยินยอมเพียงครั้งเดียวครอบคลุมทุกบัญชีได้หรือไม่ รวมทั้งจะมีการส่งแจ้งข้อมูลแบบรายบุคคลไปถึงลูกค้าให้มาแสดงความยินยอมหรือไม่ อยู่ระหว่างการหารือวิธีการ แต่ในขณะนี้สมาคมธนาคารไทย ยังไม่มีการแจ้งไปยังลูกค้าให้เข้ามาดำเนินการใดๆ เพราะต้องรอความชัดเจนจากกรมสรรพากรอีกครั้ง
ขณะที่ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์อยู่ 10 ล้านบัญชี วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ยืนยันว่าลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบ จึงไม่อยากให้ลูกค้าเกิดความตื่นตระหนก เพราะที่ผ่านมาได้ดำเนินตามกฎระเบียบมาโดยตลอด ซึ่งธนาคารได้มีการหารือกันในเรื่องนี้มากว่า 1 ปีแล้ว ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ ระบุว่า ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ จะมีการประชุมเรื่องดังกล่าวกันในต้นเดือน พ.ค.นี้ เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางในการดำเนินการตามประกาศของกรมสรรพากรที่ออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะทันต่อการบังคับใช้ของกรมสรรพากรอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แม้จะมีฐานเงินฝากออมทรัพย์สูง แต่ทั้ง 2 ธนาคารได้รับการยกเว้นการเสียภาษีรายได้ที่ได้จากอัตราดอกเบี้ยอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีพันธกิจเฉพาะด้านที่ต้องการให้เกษตรกรและเยาวชนออมเงินให้มากขึ้น แต่พร้อมให้ความร่วมมือกับกรมสรรพากรในการส่งข้อมูลเงินฝากต่างๆ โดยที่ผ่านมามีลูกค้าจำนวนมากสอบถาม ซึ่งได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงเรียบร้อยแล้ว.