ธปท.-กสทช.-สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคม ลงนามยกระดับความปลอดภัยบริการการเงินผ่านมือถือ หวังคนมั่นใจใช้พร้อมเพย์มากขึ้น เตือนประชาชนระวังเฟซบุ๊กรับซื้อบัญชีหรือจ้างเปิดบัญชีเงินฝาก มีความผิดทางกฎหมาย เจ้าของบัญชีต้องรับผิดชอบ จี้แบงก์เข้มงวดเปิดบัญชี ให้ลูกค้าแสดงตัวตนที่ถูกต้อง
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือการยกระดับความปลอดภัยในการใช้ธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างสมาคมธนาคารไทยและสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่าง 2 อุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย สอดรับแนวทางการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านมือถือและระบบโอนเงินพร้อมเพย์ที่มีสูงขึ้น
โดยสิ้นปี 2560 ที่ผ่านมา มีบัญชีที่ใช้ระบบการทำธุรกรรมการเงินผ่านมือถือหรือโมบาย แบงก์กิ้ง ทั้งสิ้น 21 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่มีคนใช้บริการพร้อมเพย์ทั้งสิ้น 27 ล้านบัญชี โดยเป็นการใช้พร้อมเพย์ผูกกับมือถือทั้งสิ้น 6 ล้านเลขหมาย โดยในช่วง 3 เดือนของการเปิดระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. 60 มีรายการโอนเงินทั้งสิ้น 4.3 ล้านรายการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท และในส่วนของพร้อมเพย์นิติบุคคล ในขณะนี้มีลงทะเบียนมาแล้ว 25,800 ราย ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการมือถือและธนาคารพาณิชย์แล้ว ความมั่นใจในการทำธุรกรรมจะสูงขึ้นกว่านี้มาก รองรับระบบการเงินดิจิทัลในอนาคต
“กระบวนการต่อจากนี้ เมื่อทั้งสองอุตสาหกรรมเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันแล้ว จะทำให้มีระบบการตรวจสอบข้อมูลระหว่างกันได้ดีขึ้น ทั้งการตรวจสอบความเป็นเจ้าของมือถือที่แท้จริงผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งการเปลี่ยนเบอร์ หรือยกเลิกเบอร์มือถือ และการยกเลิกการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขหมายโทรศัพท์เลขหมายใดเลขหมายหนึ่ง ซึ่งธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการมือถือ สามารถโอนถ่ายข้อมูลเชื่อมโยงกันได้ทันที ทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม การส่งผ่านข้อมูลนี้ ยังจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการทำระบบร่วมกันของทั้งสองอุตสาหกรรม และต้องได้รับอนุญาตจากลูกค้าก่อนดำเนินการ”
ส่วนกรณีที่มิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนในการใช้บริการทางการเงิน รวมทั้งกรณีสกุลเงินดิจิทัล “วันคอยน์” นั้น ธปท.ติดตามการหลอกลวงประชาชนอย่างต่อเนื่อง และหากเห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากล หรือเกรงว่าจะเป็นการหลอกลวงประชาชน ธปท.จะแจ้งเตือนให้ทราบเป็นระยะๆ หรือในกรณีที่ประชาชนไม่มั่นใจในการทำธุรกรรมใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกรรมทางการเงิน สามารถสอบถามศูนย์คุ้มครองการใช้บริการทางการเงินได้ผ่านเบอร์โทร.1213
“ขณะนี้ ธปท.ยังได้รับร้องเรียนกรณีของการเปิดบัญชีผิดกฎหมาย มีการเปิดเฟซบุ๊กรับซื้อบัญชีเงินฝาก และจ้างเปิดบัญชี ทั้งกรณีที่มีประชาชนยินยอมให้คนอื่นนำชื่อไปเปิดบัญชี หรือเปิดบัญชีและนำไปขายให้กลุ่มมิจฉาชีพ เพื่อนำไปทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งขอเตือนว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และหากมีการนำบัญชีดังกล่าวไปทำผิด ผู้ที่เป็นเจ้าของบัญชีก็จะมีความผิดด้วย ทั้งนี้ ธปท.ได้แจ้งขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งแล้ว ให้เข้มงวดในการเปิดบัญชีของประชาชนมากขึ้น ทั้งการแสดงตัวตนที่ถูกต้องในการเปิดบัญชี และตรวจสอบบัญชีในกรณีสุ่มเสี่ยงว่าเป็นการเปิดบัญชีเพื่อนำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย”
นายวิรไทกล่าวต่อว่า แนวทางการรู้จักตัวตนผู้บริโภค หรือ KYC (Know Your Customer) เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ ธปท.จะดำเนินการในช่วงต่อไป ซึ่งจะมีการนำเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาเป็นหนึ่งในแนวทางการพิสูจน์ตัวตนในการเปิดบัญชี หรือทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การพิสูจน์ลายนิ้วมือ หรือสแกนม่านตา โดยในขณะนี้มีฟินเทคบางรายได้เสนอขอเข้ามาทดลองการทำธุรกรรมดังกล่าว.