แบงก์ช่วยลูกหนี้น้ำท่วม ไม่สะเทือนกำไร นักวิเคราะห์ชี้ สินเชื่อภาคเหนือสัดส่วนแค่ 3.6%

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภท และขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ โดยลูกหนี้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้โดยตรงจากสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ ชี้มาตรการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากสินเชื่อในพื้นที่ภาคเหนือมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย ขณะที่การจัดชั้นลูกหนี้จะช่วยลดผลกระทบต่องบดุล เพื่อรอสถานการณ์น้ำท่วมผ่อนคลาย และคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะผลักดันรายได้ลูกหนี้กลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือในลำดับถัดไป

ธปท. ประกาศมาตรการช่วยเหลือน้ำท่วม

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ซึ่งได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์และขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อย เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตประสบสาธารณภัย มาตรการครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภท โดยลูกหนี้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้โดยตรงจากสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง

โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้สรุปและให้มุมมองโดยระบุในบทวิเคราะห์ว่า มาตรการดังกล่าวมีสาระสำคัญหลัก ๆ ได้แก่ สินเชื่อบัตรเครดิต สามารถพิจารณาให้ลูกหนี้ผ่อนชำระขั้นต่ำต่ำกว่า 8% ได้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ไม่มีทะเบียนรถเป็นประกันและสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล สามารถให้วงเงินชั่วคราวฉุกเฉินที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ และให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องแก่ลูกหนี้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือเพื่อให้ประกอบอาชีพ/ธุรกิจต่อไปได้ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความจำเป็นของลูกหนี้

ทั้งนี้ ธปท. ให้กลุ่มสามารถคงสถานะการจัดชั้นลูกหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามแนวทางข้างต้น ซึ่งยังไม่ได้ถูกจัดชั้นเป็นหนี้เสีย (NPL)

คาดกระทบ NIM ไม่มาก สินเชื่อภาคเหนือมีเพียง 3.6%

ฝ่ายวิจัยฯ มองเป็นกลางต่อแนวทางมาตรการช่วยเหลือข้างต้น เนื่องจากใกล้เคียงกับแนวทางที่ผู้บริหาร ธปท. กล่าวไว้เมื่อ 27 ส.ค. 67 ทำให้ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยรับประเด็นดังกล่าวไปบ้างแล้ว

อีกทั้งในอดีต ช่วง 4 ส.ค. 60 และ 11 ม.ค. 62 ที่เผชิญเหตุภัยพิบัติ ธปท. มีการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในรูปแบบคล้ายกัน ทั้งการคงจัดชั้นและปรับโครงสร้างหนี้ โดยปกติแม้การปรับโครงสร้างหนี้จะส่งผลต่อส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพราะเทอมการชำระหนี้ยาวขึ้น หรือลดดอกเบี้ยให้เฉพาะกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ด้วยการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการให้เฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงฝ่ายวิจัยย้อนกลับไปดูช่วงอดีตจะพบว่า NIM กลุ่มธนาคาร (8 ธนาคาร) ไม่ได้กระทบอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ สัดส่วนสินเชื่อทั้งระบบสถาบันการเงิน ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/67 อยู่ราว 75% อยู่ในกรุงเทพมหานครฯ ส่วนสินเชื่อในภาคเหนือคิดเป็นสัดส่วนราว 3.6% ของสินเชื่อทั้งระบบธนาคาร

ขณะที่การคงจัดชั้นลูกหนี้ช่วยลดผลกระทบต่องบดุลจากปัจจัยดังกล่าว เพื่อรอสถานการณ์น้ำท่วมผ่อนคลาย และคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ผลักดันรายได้ลูกหนี้กลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือในลำดับถัดไป

โดยกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 54% ของประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารปี 2567 รวมถึงประมาณการรวมผลของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้ง 0.25% ช่วงปลายปี และรับรู้ผลกระทบเต็มปีในปี 2568 เชื่อว่าประมาณการยังสอดคล้อง

หุ้นแบงก์ “ไม่แพง” คาดให้ผลตอบแทนสูงสุด 9%

อย่างไรก็ตาม บล. เอเซีย พลัส คงคำแนะนำลงทุน “เท่าตลาด” สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร จากราคาต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ P/BV ไม่แพง เฉลี่ยที่ 0.8 เท่า และคาดให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับ 5-9% เน้นลงทุนหุ้นธนาคารที่มีแนวโน้มการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เลือกธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น KBANK คู่กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น KTB เป็น Top pick กลุ่มธนาคาร ส่วนเหลือเรียงดังนี้ > TTB > BBL > TISCO > SCB > KKP

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/investment

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้

https://www.facebook.com/ThairathMoney