นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน ต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 25 บริษัท ดังนี้
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 36% มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 3/66 มีแนวโน้ม Sideway หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาสก่อน ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 32% มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกและลบเท่ากัน โดยมองว่าจะอยู่ในโซน 1,401-1,500 จุด จำนวน 18.75% อยู่ในโซน 1,501-1,600 จุด จำนวน 56.25% และอยู่ในโซน 1,601-1,700 จุด จำนวน 25% โดยมีค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยสิ้นไตรมาสที่ 3/66 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,568 จุด
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ควรจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาสที่ 3/66 ผู้ตอบส่วนใหญ่มองว่าการจัดตั้งรัฐบาลและการเมืองในประเทศ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจโลก พร้อมมองว่า GDP ของไทยปีนี้มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.38% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.50% โดยให้ตัวเลขต่ำสุดที่ 2.7%
เมื่อมองระยะยาวไปจนถึงสิ้นปี 2566 ให้เป้าหมายดัชนีเฉลี่ยที่ 1,630 จุด ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยที่มีเสียงโหวตเกินครึ่งหนึ่งมีเพียงปัจจัยเดียวคือ เศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ตอบแบบสำรวจ 72% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ส่วนที่เหลือรองลงมาเป็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศ
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดหุ้นไทยจนถึงสิ้นปี 2566 ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย มีผู้ตอบให้ความเห็นกว่า 80% ว่ามีผลเป็นลบ
นอกจากนี้ แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การแพทย์ และการท่องเที่ยว และลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม non-bank ปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งรายชื่อหุ้นที่มีจำนวนนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ได้แก่ ADVANC, AOT, BBL, CPALL, SCB และควรหลีกเลี่ยงการลงทุนใน DELTA จากเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และเลี่ยงกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่
ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ความเห็นส่วนตัวว่า ปัจจัยที่นำไปสู่ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนมากตลาดหุ้นไทยมักตอบรับเป็นบวก ซึ่งคาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกในประเด็นการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แม้ว่าจะยังมีความไม่ชัดเจนว่าใครจะได้รับเลือกให้เป็นประธานสภา
ประเด็นต่อมาคือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบว่าจะมีหน้าตาเป็นแบบใด นักลงทุนยังต้องติดตามข่าวอยู่เรื่อยๆ โดยเชื่อว่าหลังมีการโหวตประธานสภาแล้วจะมีประเด็นความผันผวนอีกครั้ง ก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลอย่างชัดเจน และหากมีความชัดเจนแล้ว ตามสถิติที่ผ่านมาจะเกิน Election Rally ขึ้น โดยดัชนีจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 5% และอาจสามารถแตะระดับ 1,630 จุด ได้ตามที่นักวิเคราะห์ฯ ส่วนใหญ่คาดการณ์
อย่างไรก็ดี ความชัดเจนด้านการเมืองของไทยนั้น เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้บ้าง คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับความสนใจเป็นอันดับแรก เช่น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ในขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า ยังต้องรอดูหน้าตานโยบายจากภาครัฐก่อน.