ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 มี.ค.64 ปิดที่ 1,543.40 จุด เพิ่มขึ้น40.04จุด มีมูลค่าซื้อขายทะลัก 118,270.58 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,936.52 ล้านบาท กองทุนในประเทศซื้อสุทธิ 3,129.37 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 2,998.20 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ขายสุทธิ 9,064.10 ล้านบาท
หุ้นไทยบวกแรงกว่า 40 จุด โดยมีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศในหุ้นบิ๊กแค็ปหรือหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ได้รับปัจจัยหนุนจากวัคซีนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งหุ้นกลุ่มการเงิน ที่ได้รับแรงหนุนจาก Bond yield ในประเทศที่สูงขึ้น ขณะที่ กกร.คาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้โตได้ 1.5-3.5%
บล.เอเซียพลัสระบุว่า สภาพคล่องที่ล้นระบบ การประเมินดัชนีด้วยวิธี P/E อย่างเดียวอาจไม่ค่อยเหมาะสมนัก เนื่องจากเป็นการเปรียบเทียบระดับดัชนีกับผลตอบแทน เฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ไม่ได้เปรียบเทียบกับผลตอบแทนในสินทรัพย์อื่นๆ ดังนั้น หากต้องการประเมิน Valuationของดัชนี ควรจะมีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนตลาดหุ้น
กับตลาดตราสารหนี้จึงจะดูสมเหตุสมผลมากขึ้น โดยปัจจุบันระดับMarket Earning Yield Gap อยู่ที่4.2%ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ ที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนเน้นหุ้น Theme “เปิดเมือง Play”ที่ได้
ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวและการลงทุนของภาครัฐ อาทิ STEC–AAV และ MINT
ปิดท้าย มีข่าว “ภาคภูมิ ศรีชำนิ” กรรมการผู้จัดการ STECเผยในงานแถลงข่าวหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ดำเนินคดีอาญากับบริษัทและตนเองในฐานะกรรมการผู้จัดการ กรณีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอมว่า คาดว่าหลังจากนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับมา โดยล่าสุดบริษัทเตรียมเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันร่วมกับ CLSA (ประเทศไทย) ยอมรับว่าการฟ้องร้องที่เกิดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ธรรมาภิบาล (CG) และกดดันราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอย่างมาก ซึ่งคดีโรงไฟฟ้าขนอมยืนยันว่าเราไม่ผิดมาโดยตลอด
สำหรับทิศทางธุรกิจนั้นขณะนี้ประมูลงานได้แล้วและรอเซ็น
สัญญาช่วงครึ่งแรกปี 64 อยู่ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชน70% ภาครัฐ 30% และคาดว่าปี 64 จะรับรู้รายได้ 37,000–38,000ล้านบาท.
อินเด็กซ์ 51