ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 มี.ค.63 ปิดที่ 1,335.72 จุด ลดลง 4.80 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 74,368.85 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 4,326.90 ล้านบาท
“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ชี้ว่า ตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นรวดเร็ว ทั้งเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง กดดันหุ้นทั่วโลก รวมถึงหุ้นไทยดิ่งลงแรง ถือว่าขณะนี้หุ้นไทยเข้าสู่ “ภาวะหมี” แล้ว หลังดัชนีปรับตัวลงหลุด 1,480 จุด หรือลงมากกว่า 20% จากที่เคยขึ้นสูงสุดที่ 1,850 จุด ช่วงต้นปี 61
“จากการศึกษาความเคลื่อนไหวหุ้นไทยในช่วงภาวะหมี (Bear Market) ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จะใช้เวลาเฉลี่ย 190 วันทำการ หรือราว 9 เดือนจนกว่าราคาหุ้นจะแตะจุดต่ำสุด และปรับตัวลงโดยเฉลี่ย 36% จากจุด สูงสุด ถ้าอิงเวลาสูงสุดของภาวะหมีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาจเห็นจุดต่ำสุดของดัชนีปลายไตรมาส 2 เป็นอย่างช้าสุด หรือถ้าอิงตามค่าเฉลี่ยของการปรับลง ภาวะหมีที่เคยเกิดขึ้น อาจเห็นหุ้นไทยแตะจุดต่ำสุด 1,180-1,200 จุด”
หากสังเกตภาวะหมีในอดีต ที่ตลาดปรับตัวลงหนักๆหรือลดลงเกินกว่า 50% ขึ้นไป จะเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ เช่น ปี 33 ที่เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย, ปี 40 วิกฤติต้มยำกุ้ง, ปี 43 วิกฤติ Dot-com และปี 51 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
ทิสโก้คาดว่าการปรับลงในภาวะหมีครั้งนี้ หุ้นไทยอาจปรับลงจากจุดสูงสุด 21-34% จะคิดเป็นดัชนี ในกรอบ 1,220-1,460 จุด โดยมีค่าเฉลี่ยกลางอยู่ที่ 1,350 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับ SET Index ปิดสิ้น ก.พ.ที่ 1,340 จุด แม้การประเมินจุดต่ำสุดและระยะเวลาสิ้นสุดของตลาดหมีในแต่ละรอบไม่ใช่เรื่องง่ายแต่จากการประเมินด้านอื่นๆประกอบ บล.ทิสโก้มองว่าหุ้นไทยระดับปัจจุบันที่ 1,340 มีความน่าสนใจต่อการทยอยสะสมเพื่อการลงทุนอีกครั้งแล้ว
เนื่องจาก 1.ราคาหุ้นค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี 2.ส่วนต่างของผลตอบแทนหุ้นเทียบกับตลาดตราสารหนี้มีมากกว่า 4%
ซึ่งมีโอกาสในการทำกำไรสูงถึงเกือบ 70% ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า 3.ดัชนีปรับตัวลงมาแล้ว 8 เดือนติดต่อกัน เท่ากับการปรับตัวลงสูงสุดในอดีต ดังนั้น หากประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หุ้นไทยเดือน มี.ค.ควรเริ่มดีดกลับได้แล้ว
แนะหุ้นเด่น AEONTS, BDMS, BTS, HMPRO, INTUCH, STEC, TOP และ TU!!
อินเด็กซ์ 51