ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 ต.ค.62 ปิดที่ 1,610.69 จุด ลบ 2.95 จุด มี มูลค่าการซื้อขาย 37,833.41 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,467.79 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด นำโดย SCC ปิด 399 บาท ลบ 9 บาท, PTT ปิด 45.50 บาท ลบ 0.25 บาท, KBANK ปิด 150.50 บาท ลบ 1.50 บาท, CPALL ปิด 81.50 บาท บวก 1 บาท, AOT ปิด 73.25 บาท บวก 0.25 บาท
“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้า สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินดัชนีสิ้นปี 62 ไว้ที่ระดับ 1,655 จุด โดยอิง PER เหมาะสมที่ 16.45 เท่า จากฐานของกำไรบริษัทจดทะเบียน ปี 62 ที่ 9.99 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 100.64 บาท
แนะนำลงทุนหุ้นพื้นฐานดีจ่ายปันผลสูง ได้แก่ PTTEP, LH, SPALI นอกจากนี้ แนะหาจังหวะเข้าซื้อหุ้น BBL หลังประกาศงบไตร– มาส 3 รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดี เช่น JWD และ PLANB
ส่วนการประชุม กนง. เดือน พ.ย.62 มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดทุนกับตราสารหนี้มีมากขึ้น ช่วยหนุน Earning Yield Gap ขึ้นมาที่ 4.68% สูงกว่า ค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 4.28% ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น และมีโอกาสเห็นเม็ดเงินเข้ามาลงทุน
ขณะที่ยังมองหุ้นไทยไตรมาส 4 ได้แรงหนุนจากผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำกำไรสุทธิรวมได้ที่ 2.5 แสนล้านบาท ส่วนสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนยังกดดันเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนกรณีที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แบบ No deal ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สะท้อนปัจจัยลบกับตลาดหุ้นไปแล้ว ขณะที่ คาดว่าหากมีการเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน SEF จะส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นลดลงเหลือปีละ 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่ LTF มีเงินลงทุนในหุ้น 66,000 ล้านบาท
ปิดท้าย “ทรงวุฒิ ศักดิ์ชลาธร” ซีอีโอ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) เผยว่า หลังยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 46 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 22.33 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เรียกชำระแล้ว ล่าสุดได้รับอนุมัติคำขอเสนอขายหลักทรัพย์แล้ว และ คาดว่าจะเข้าซื้อขายในเอ็มเอไอได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทมีวิสัยทัศน์เป็นผู้นำการคิดค้นและนำเสนอผลิต-ภัณฑ์สุขภาพที่แตกต่าง ด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพื่อการป้องกันและรักษาโรค การมีชีวิตที่ยืนยาวและชะลอวัย!!
อินเด็กซ์ 51