ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 มิ.ย.62 ปิดที่ 1,637.69 จุด บวก 17.47 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 65,213.26 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 5,826.05 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 81.75 บาท บวก 2 บาท, AOT ปิด 65 บาท บวก 1.25 บาท, PTT ปิด 46.50 บาท บวก 0.25 บาท, PTTEP ปิด 125 บาท ลบ 0.50 บาท, SCC 458 บาท บวก 6 บาท
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดหุ้นภูมิภาค รับ Sentiment บวกจากการเมืองในประเทศ คาดหวังการจัดตั้งรัฐบาล
บล.เอเซียพลัสชี้ตลาดยังให้น้ำหนักสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่ยืดเยื้อ และอาจขยายวงกว้าง หลังสหรัฐฯห้ามบริษัทสหรัฐฯทำธุรกิจกับบริษัทจีน และล่าสุดจีนได้ตอบโต้ ผ่านการขึ้นบัญชีดำบริษัทที่เป็นภัยต่อความมั่นคง และมีความไม่น่าเชื่อถือต่อรัฐบาลและบริษัทของจีน โดยมุ่งไปที่บริษัท FedEx
โดยสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ทำให้ธนาคารกลางต่างๆของโลก หันกลับมาพิจารณาชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ล่าสุด ประธาน Fed สาขาย่อย St.Louis James Bullard ได้เผยว่า Fed ควรพิจารณาลดดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้ตลาดคาดว่าปีนี้สหรัฐฯมีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น เห็นได้จากผลสำรวจโอกาสการลดดอกเบี้ยของ Fed โดย Bloomberg พบว่ามีโอกาสลดรอบ ธ.ค. 98.3% เพิ่มจาก 94.8% เมื่อปลาย พ.ค. และ 53.3% เมื่อต้น พ.ค.
ทำให้ Fund Flow ยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เห็นได้จาก Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ที่ลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 20 เดือนที่ 2.08% ต่ำกว่า Bond Yield 3 เดือนสหรัฐฯ ที่ 2.35% ซึ่งเป็นลักษณะของ Inverted Yield Curve และเป็นสัญญาณถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาสชะลอตัว (Recession) ในระยะถัดไป
อย่างไรก็ตาม Bond Yield 10 ปีของไทยยังสูงกว่าสหรัฐฯ ที่ 2.36% ถือเป็นเกราะป้องกันสำคัญไม่ให้เงินทุนไหลออก ดังนั้น Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดเงินไทย
แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นปันผล ผันผวนต่ำ และได้ประโยชน์จากประเด็นสงครามการค้า เลือก SCCC (FV@B 269), WHA (FV@B 4.89)
อินเด็กซ์ 51