ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 ม.ค.62 ปิดที่ 1,641.73 จุด เพิ่มขึ้น 9.13 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 57,893.44 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,305.12 ล้านบาท
หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 200 บาท บวก 7 บาท, PTT ปิด 48.50 บาท บวก 0.25 บาท, PTTGC ปิด 68 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท, AOT ปิด 69 บาท ลบ 0.75 บาท และ IVL ปิด 48 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท
บล.กสิกรไทยระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้หั่นเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้เหลือ 1,750 จุด จากเดิม 1,800 จุด เนื่องจากได้ปรับวิธีประเมินเป้าหมายดัชนีในรูปแบบใหม่ รวมถึงยังมีปัจจัยภายนอกกดดัน ทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ย, สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน และราคาน้ำมันดิบที่ลดลง มีหุ้นกลุ่มที่แนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ เลือก CPALL ได้แรงหนุนจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ขณะที่กลุ่มเกษตรเลือก CPF จากราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น
ส่วนกลุ่มรับเหมา เลือกหุ้น STEC จากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และมีงานในมือจำนวนมาก สำหรับหุ้นแบงก์ใหญ่เลือก BBL มีมุมมองเชิงบวกจากการบริโภคภาคเอกชนและการเติบโตของสินเชื่อ กลุ่มนิคมฯ เลือก AMATA เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รวมถึงได้ประโยชน์จากสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนย้ายฐานผลิต ขณะที่กลุ่มสนามบิน แนะ AOT จากการฟื้นตัวของผู้โดยสาร กลุ่มโรงไฟฟ้า เลือก RATCH, EGCO และ BGRIM ด้วยความเสถียรภาพของการทำกำไร และมีโอกาสเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP)
ขณะที่กลุ่มพลังงานปรับลดคำแนะนำหุ้น PTTGC และ PTTEP เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง 10 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะส่งผลกระทบต่อกำไร 20-25% คาดราคาน้ำมันดิบดูไบปี 62 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพราะมีปริมาณสำรองส่วนเกินระหว่างกำลังการผลิตและความต้องการบริโภค
กรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง กลุ่มที่ได้ประโยชน์คือโรงกลั่น แนะ TOP และ SPRC พร้อมปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น IRPC และ SCC ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตโพลีโพรพิลีน ที่ได้ประโยชน์จากการที่สหภาพยุโรปงดใช้พลาสติก ซึ่งยุโรปเป็นกลุ่มที่มีอัตราการบริโภคพลาสติก 1 ใน 4 ของโลก.
อินเด็กซ์ 51