ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 พ.ย.61 ปิดที่ 1,667.55 จุด ลบ 1.54 จุด มีมูลค่า ซื้อขาย 50,927.21 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,578.08 ล้านบาท
“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ ประเมิน SET Index เดือน พ.ย. มีกรอบแนวรับที่ 1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับเทียบเท่าค่าเฉลี่ย Earning yield gap ส่วนแนวต้านจิตวิทยาประเมินที่ 1,700 จุด
ปัจจัยบวกที่จะเป็นแรงหนุนหุ้นไทยมี 2 ปัจจัย คือ 1.คาดราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวขึ้น หลังสหรัฐฯเตรียมบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่านเป็นรอบที่ 2 ส่งผลบวกต่อกลุ่มพลังงาน
2.ประเมินผลเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯจะนำมาสู่บทสรุปที่ดี หากพรรคเดโมแครตกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้ตามที่ผลโพล เพราะจะเป็นการถ่วงดุลอำนาจประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จนทำให้จุดยืนที่แข็งกร้าวต่อนโยบายสงครามการค้า มีโอกาสที่จะอ่อนโยนลงได้ คาดว่าเงินดอลลาร์จะเริ่มอ่อนค่าส่งผลบวกต่อสกุลเงินประเทศเกิดใหม่
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือ พัฒนาการของร่างกฎหมายงบประมาณอิตาลี หากยังล่าช้า จะกดดันค่าเงินยูโรทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯทรงตัวในระดับสูงได้ขณะที่ตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลกชะลอตัวจากปัญหาสงครามการค้า
สำหรับปัจจัยที่อาจเป็นได้ทั้งปัจจัยบวกและลบ นั่นก็คือการเคลื่อนไหวของ Bond yield สหรัฐฯ หากปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลให้ Upside ของตลาดหุ้นยังไม่เปิดกว้างมากนัก เนื่องจากพอดัชนีขึ้นไปถึงจุดๆหนึ่ง ก็จะมีแรงขายปรับพอร์ตของต่างชาติในทางกลับกัน หาก Bond yield ปรับลงมา จะเป็นผลบวกต่อหุ้น เนื่องจากทำให้หุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น
แนะนำกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนที่คาดว่าจะปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ได้อานิสงส์หากราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นจริง เช่น PTT, PTTEP, PTTGC
และหุ้นที่อยู่ในชุดหุ้นดีดกลับที่ทรีนีตี้คัดเลือก (Top Dog) และมีสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบันในระดับหนึ่ง เช่น BEAUTY, GLOBAL, GPSC รวมทั้งกลุ่มหุ้นที่อาจมีแรงเก็งกำไรต่อการถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี MSCI ในรอบถัดไป เช่น GULF, MTC
และกลุ่มหุ้นที่อาจมีแรงเก็งกำไรต่อการถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป เช่น GULF, WH!!
อินเด็กซ์ 51