
รายงานราคาทองคำวันนี้ (22 ต.ค. 2568) เปิดตลาดร่วงแรง -2,500 บาท ทองคำโลกหลุดระดับ 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่ำสุดในรอบหลายปี และถือเป็นการร่วงแรงที่สุดในรอบ 12 ปี ขณะที่ ราคาทองรูปพรรณไทย ประกาศราคาขายออก รอบแรก บาทละ 64,550 บาท
สาเหตุหลักมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ขณะนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังมีความคาดหวังว่าเฟด (Fed) สหรัฐฯ อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า
ทั้งนี้ แม้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่อยู่คู่กับโลกการเงินมายาวนาน เพราะมีคุณสมบัติ “เก็บมูลค่า” (Store of Value) ได้ดีในช่วงเศรษฐกิจผันผวน และไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง จึงถูกมองว่าเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
แต่ในปี 2568 ที่ผ่านมา ราคาทองคำกลับผันผวนมากผิดปกติ มีบางวันเปลี่ยนแปลงมากกว่า 30 ครั้งต่อวัน สะท้อนแรงซื้อขายมหาศาลจากทั้งรายใหญ่และรายย่อย
แต่หากดูจากข้อมูลย้อนหลัง ราคาทองคำ “ขยับขึ้นแทบทุกปี”
เฉลี่ยแล้ว “ทองคำ” ให้ผลตอบแทนบวกต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือเหตุผลที่ใคร ๆ ก็อยากลงทุนทองคำ เพราะแม้จะผันผวน แต่ระยะยาวถือว่ายังอยู่ใน “แนวโน้มขาขึ้น”
นักวิเคราะห์หลายสำนักเอง ก็ยังมองว่า ทองคำปี 2568–2569 มีโอกาสเห็นระดับสูงสุดใหม่ถึง 75,000 บาทต่อบาททองคำ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และการทยอยเข้าซื้อทองคำของ “ธนาคารกลาง” ทั่วโลก โดยเฉพาะจีน
เจาะมุมมองจาก “อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ชี้ให้เห็นว่า ราคาทองคำในปีนี้ ไม่ใช่การแกว่งตัวที่ปกติ จากเดิมที่ทองคำควรนิ่ง เพราะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ปัจจัยโลกกลับทำให้ราคาทองขึ้นลงแรงมาก
ปัจจัยลบที่กดดันทองคำ
ปัจจัยหนุนทองคำในระยะยาว
โดยให้คำแนะนำในการลงทุนว่า ควร ถือทองคำไว้บางส่วนในพอร์ตสัก 10% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเก็บระยะยาว อีกส่วนใช้เทรดตามจังหวะ ภายใต้ความเข้าใจที่ว่า ทองไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีปันผล การถือทองจึงต้องอาศัยเวลา
จากข้อมูลด้านบน จะเห็นได้ว่า ทองคำไม่ใช่แค่ของสะสมหรือสินทรัพย์เก่าแก่ของโลกการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็น "เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง" ที่ช่วยรักษามูลค่าเงินในวันที่เศรษฐกิจผันผวนแต่ทั้งนี้ ก่อนจะเริ่มลงทุน สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่า “ทองคำ” มีหลายรูปแบบ และแต่ละแบบตอบโจทย์คนละสไตล์
1. ทองคำแท่ง หรือทองคำจริง ความมั่นคงที่จับต้องได้
เหมาะกับนักลงทุนสายระยะยาวที่มองว่าทองคือทรัพย์สินปลอดภัยในยามวิกฤติ เพราะไม่ว่าค่าเงินจะอ่อน เงินเฟ้อจะสูงแค่ไหน “ทอง” ก็ยังมีมูลค่าในตัวเอง
ข้อดี : ถือไว้จริง เห็นเป็นก้อน ๆ เวลาราคาขึ้นก็ขายคืนร้านทองได้ง่าย เหมาะกับคนที่อยากเก็บไว้ยาวเพื่อส่งต่อเป็นมรดก หรือต้องการความอุ่นใจในยามไม่แน่นอน
ข้อควรระวัง : ต้องมีเงินทุนเริ่มต้นพอสมควร (ทองคำแท่ง 1 บาท ปัจจุบันราคาหลายหมื่นบาท)และต้องจัดการเรื่องการเก็บรักษา เพราะของมีค่าก็มี “ความเสี่ยงทางกายภาพ” เช่น การสูญหายหรือขโมย
เคล็ดลับ : ทยอยซื้อแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) รายเดือน เช่น 2,000–3,000 บาทต่อครั้ง เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อผิดจังหวะ ทองคำคือการ “สะสมมูลค่า” มากกว่า “เก็งกำไรเร็ว”
2. Gold ETF หรือ TFEX เมื่อทองคำกลายเป็นสินทรัพย์เทรดในตลาด
ถ้าเป้าหมายคือผลตอบแทนระยะสั้น หรืออยากใช้ทองคำเป็น “เครื่องมือเก็งกำไร” เส้นทางนี้เหมาะกว่า เพราะสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ETF (Exchange-Traded Fund) คือกองทุนที่อิงราคาทองคำโลก ส่วน TFEX คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ทำกำไรได้ทั้ง “ขาขึ้น” และ “ขาลง”
ข้อดี : ไม่ต้องเก็บทองจริง ซื้อขายได้ทันที มีสภาพคล่องสูง
ข้อควรระวัง : ราคาผันผวนแรง ต้องเข้าใจตลาดและติดตามข่าวเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา เพราะราคาทองในตลาด TFEX อาจเหวี่ยงได้เป็นพันบาทภายในวันเดียว
คำแนะนำ : ให้เริ่มจาก Gold ETF ก่อน เพราะมีความเสี่ยงต่ำกว่า TFEX และเหมาะกับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ระยะกลาง
3. ออมทองผ่านแอป หรือกองทุนทองคำ สะดวกและเข้าถึงง่าย
ยุคดิจิทัลทำให้การลงทุนทองคำไม่จำเป็นต้องเดินเข้าร้านทองอีกต่อไป เพราะปัจจุบันสามารถ “ออมทองผ่านแอป” ของธนาคารหรือร้านทองใหญ่ ๆ ได้ทันที เหมาะกับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มต้นด้วยเงินน้อย เช่น เดือนละ 100–500 บาท และสามารถขายทองได้ทันทีเมื่อถึงจุดที่ต้องการ
ข้อดี
ข้อควรระวัง : แม้จะสะดวก แต่ยังควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตและความน่าเชื่อถือ และเข้าใจว่า “ทองคำ” ไม่ได้ให้ดอกเบี้ยเหมือนเงินฝาก
อย่างไรก็ดี การลงทุนทองคำไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะราคาทองผันผวนตามปัจจัยโลกมากมายก่อนจะตัดสินใจซื้อหรือขาย ลองถามตัวเองด้วย 3 คำถามนี้
1. คุณมองเศรษฐกิจและดอกเบี้ยอย่างไร ?
ทองมักพุ่งแรงในช่วงเศรษฐกิจผันผวน ดอกเบี้ยต่ำ และเงินดอลลาร์อ่อนค่า ถ้าคุณเชื่อว่าแนวโน้มเหล่านี้จะเกิดขึ้นในปีหน้า นั่นคือสัญญาณบวกสำหรับทอง
2. คุณมี “เงินเย็น” หรือไม่ ?
ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์เก็งกำไรเร็ว เพราะไม่มีดอกเบี้ยหรือปันผล หากคุณต้องการเห็นผลตอบแทน ควรถือลงทุนอย่างน้อย 1–3 ปี
3. คุณมีแผนลงทุนที่ชัดเจนไหม ?
นักลงทุนที่ซื้อเพราะ “กลัวตกขบวน (FOMO)” มักติดดอยง่าย กลยุทธ์ที่ปลอดภัยคือทยอยซื้อแบบ DCA เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและลดแรงกดดันจากราคาขึ้นลงรายวัน
คำถาม : ราคาทองทะลุ 65,000 บาทแล้ว ซื้อตอนนี้จะติดดอยไหม ?
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เสี่ยงแน่ถ้าซื้อรวดเดียว แต่ถ้าทยอยซื้อและถือระยะยาว ยังมีโอกาสทำกำไรได้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าแนวโน้มทองคำใน 2 ปีข้างหน้ายังเป็น “ขาขึ้น”
คำถาม : ซื้อทองแท่งหรือกองทุนทองดีกว่ากัน ?
คำถาม : ควรมีทองคำกี่เปอร์เซ็นต์ในพอร์ตลงทุน ?
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 5–15% ของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นและค่าเงิน
สรุปแล้ว การลงทุนทองคำไม่ใช่แค่เรื่อง “ซื้อแล้วรอให้ราคาขึ้น” แต่คือการเข้าใจว่า เมื่อไรควรซื้อ - ซื้ออย่างไร และถือแค่ไหนถึงจะเหมาะกับเรา เพราะสุดท้ายแล้ว ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีเสน่ห์ในยุคเศรษฐกิจโลกผันผวน แต่จะกำไรได้จริง ก็ต่อเมื่อมีวินัย ไม่โลภ ไม่รีบ และหมั่นติดตามสถานการณ์ราคาทองอย่างต่อเนื่อง
ที่มา : ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
อ่านข่าวหุ้น ข่าวทองคำ และ ข่าวการลงทุน และ การเงิน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney