
นักลงทุนและคนออมทองต้องจับตา! ราคาทองคำที่พุ่งทะยานอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เมื่อ YLG ผู้นำด้านการลงทุนทองคำ ออกมาตอกย้ำมุมมองเชิงบวก
ชี้ทิศทางราคาทองคำยังเป็น "ขาขึ้น" ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี โดยมีโอกาสลุ้นเห็นตัวเลขสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 75,000 บาทต่อบาททองคำ สวนทางกับกระแสความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน
แม้ปัจจัยบวกรอบด้าน ทั้งการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก ความกังวลเงินเฟ้อ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะยังแข็งแกร่ง แต่ "ตัวแปรสำคัญที่สุด" ในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ คือ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่กำลังจะเข้าสู่วัฏจักร "ดอกเบี้ยขาลง" ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกมหาศาลต่อราคาทองคำโดยตรง
พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า YLG ยังมองว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อย 2 ปี เนื่องจากปัจจัยบวกสำคัญหลายด้านยังแข็งแกร่ง ทั้งการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า
แต่ปัจจัยที่สำคัญในช่วง 1- 2 ปี นับจากนี้ น้ำหนักจะอยู่ที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (เฟด) ซึ่งหากดูจากสถิติในช่วงการปรับลดอัตราดอกบี้ยนโยบายของเฟดแต่ละครั้งพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไปในทิศทางเดียวกัน
หากพิจารณาย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 4 รอบ ดังนี้
1. ในปี 2543 เกิดฟองสบู่ดอทคอม (Dot-comBubbleBurst) ที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ โตแรงจากหุ้น เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงอย่างรุนแรง กดดันการลงทุนภาคธุรกิจ (business investment) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ
2. ในปี 2550 เกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ จากการปล่อยกู้สินเชื่อบ้านเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage Crisis) ทำให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. 2550
3. ปี 2562 หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยล่วงหน้า โดยเฟดระบุว่าเป็น Insurance Cut ก่อนที่เฟดจะปรับ “ลด” อัตราดอกเบี้ย อย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 2563 จากวิกฤติ COVID-19
4. ปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เฟดจึงได้ปรับ นโยบายการเงินเข้าสู่สภาวะปกติ (Fed Policy Normalization) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
ทั้งนี้พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในรอบวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้งก่อน หน้าพบสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้
สำหรับการคาดการณ์ปัจจุบัน CME Fed Watch ระบุว่า นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 96.8% ที่เฟดจะมี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม และมีโอกาส 81.1% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อีกครั้งในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ นักลงทุนยังเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% อีกด้วย นอกจากนี้ตลาดยังคาดการณ์ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2026
ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ YLG ประเมินว่าหากได้รับปัจจัยบวกอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมีโอกาสมีอาจจะไปได้ถึง 4,435-4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ และมองว่าทองคำในประเทศมีโอกาสเห็น 68,500-75,700 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้