สัญญาณเตือนวิกฤติการเงินโลก? คนแห่ซื้อ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ดันราคาทองคำพุ่งไม่หยุด

Investment

Gold

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

สัญญาณเตือนวิกฤติการเงินโลก? คนแห่ซื้อ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ดันราคาทองคำพุ่งไม่หยุด

Date Time: 17 ต.ค. 2568 11:31 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

ราคาทองคำพุ่งแรง สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางคำเตือนถึงวิกฤติการเงินใหญ่ในปี 2568

Latest


ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนที่หลายคนจับตามอง ว่าบางสิ่งบางอย่างในระบบการเงินโลกอาจกำลังสั่นคลอนอีกครั้ง

การที่นักลงทุนทั่วโลกพร้อมใจกันแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ไม่ได้สะท้อนเพียงแค่ความต้องการเก็งกำไร แต่ยังบ่งบอกถึง “ความไม่มั่นใจ” ต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชัดเจนขึ้นทุกวัน

จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไปจนถึงกระแสคาดการณ์ว่าอาจเกิดการปรับโครงสร้างทางการเงินครั้งใหญ่ ล้วนเป็นปัจจัยที่ผลักให้ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่

ท่ามกลางความผันผวนนี้ Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ออกมาเตือนว่า วิกฤติการเงินครั้งใหญ่ที่สุดอาจเกิดขึ้นในปี 2568 และแนะนำให้ผู้คนหันมาถือ “สินทรัพย์จริง” เพื่อปกป้องความมั่งคั่งของตนเอง


ราคาทองคำพุ่งไม่หยุด จุดเริ่มของความกังวล

ราคาทองคำในประเทศเช้านี้ ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง โดยสมาคมค้าทองคำประกาศราคาครั้งที่ 1 ของวัน เปิดตลาดปรับขึ้นถึง 1,600 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่ 66,900 บาท และทองรูปพรรณขายออกที่ 67,700 บาท

การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงนี้สะท้อนภาพความกังวลที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนทั่วโลก ซึ่งกำลังวิ่งเข้าหาทองคำในฐานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ก่อตัวขึ้นทั่วโลก และอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤติการณ์ทางการเงินที่กำลังจะมาถึง

ราคาทองคำในตลาดโลก (Gold Spot) พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในตลาดเอเชียที่ 4,379.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนมีกระแสข่าวว่าจีนอาจตอบโต้ด้วยการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง

ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ให้ความเห็นกับ Thairath Money ว่า การทะยานขึ้นของราคาทองคำ มี 2 ปัจจัยเร่งสำคัญ คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีความเสี่ยงจะบานปลายกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง และวิกฤต "Government Shutdown" ในสหรัฐฯ ที่ดำเนินติดต่อกันมาเป็นวันที่ 17 แล้ว ซึ่งหากยืดเยื้อจะกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของสหัฐฯ ราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ต่อสัปดาห์

สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้นักลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุน ETF และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เร่งเข้าถือครองทองคำเพื่อเป็นหลักประกันความมั่งคั่ง ท่ามกลางความเสี่ยงที่คาดเดาได้ยาก

สำหรับโอกาสที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่นั้น ศิริลักษณ์ ยอมรับว่า “มีความเสี่ยงและเป็นไปได้” โดยเฉพาะหากสงครามการค้าทวีความรุนแรงจนฉุดเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ประกอบกับความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หากหนี้สินของสหรัฐฯ เดินทางมาถึงจุดที่ไม่สามารถกู้ยืมต่อได้ ก็อาจเป็นชนวนของวิกฤติที่รุนแรง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนบริบทระบบการเงินโลกครั้งใหญ่ หลังจากที่เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักมานานกว่า 90 ปี

อย่างไรก็ดี แม้ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นร้อนแรงจนเกิดคำถามถึงภาวะฟองสบู่ แต่ ศิริลักษณ์ มองว่า แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น ตราบใดที่ธนาคารกลางทั่วโลกและกองทุน ETF ยังคงเดินหน้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง แต่ในระยะสั้น นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เนื่องจากราคาที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐานได้ทุกเมื่อ

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่าง RSI (Relative Strength Index) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดภาวะการซื้อขาย สะท้อนสัญญาณที่อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ราคาทองคำจะมีการปรับฐาน

บทวิเคราะห์จาก บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ระบุว่า แม้ราคาทองคำจะอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ในทางเทคนิค แต่ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยมีแนวต้านสำคัญที่ต้องจับตาคือ 4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากราคาสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการปรับตัวขึ้นต่อในระยะกลาง-ยาว

สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำในมือ หากราคาไม่หลุดแนวรับ 4,341-4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจพิจารณาทยอยแบ่งขายทำกำไร และควรตั้งจุดขายตัดขาดทุน (Trailing Stop) ไว้ที่ 4,274 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพื่อล็อกกำไร

สำหรับนักลงทุนที่รอซื้อ แนะนำให้รอเข้าซื้ออีกครั้งเมื่อราคาอ่อนตัวลงแต่ไม่หลุดแนวรับ 4,274-4,242 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุด 4,182 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์


คำเตือนจาก Robert Kiyosaki พ่อรวยสอนลูก

Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือพ่อรวยสอนลูก กล่าวว่า วิกฤติการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2568 นี้ เขาเชื่อว่าผู้คนหลายล้านคนจะสูญเสียเงินออม เนื่องจากตลาดและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพล่มสลาย

Kiyosaki ยังกล่าวอีกว่า ผู้คนควรให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่แท้จริงแทน เขาชี้ว่าทองคำ เงิน และ Ethereum เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีมูลค่าและถูกนำมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง

“อย่าพึ่งพาความมั่งคั่งบนกระดาษ เรียนรู้ว่าเงินทำงานอย่างไร ลงทุนอย่างชาญฉลาด และปกป้องสิ่งที่คุณสร้างขึ้นก่อนที่ระบบจะรีเซ็ต”

อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งใหญ่อาจที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะกระทบต่อคนที่มีทรัพย์สินอยู่ในตลาด แต่อาจเป็นโอกาสสำหรับคนที่กำลังก่อร้างสร้างตัว หากราคาสินทรัพย์ต่างๆ ร่วงลง ก็อาจสามารถเข้าซื้อได้



อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ