
ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งซื้อง่ายขายคล่อง สามารถซื้อขายได้ในตลาดทั่วโลก ที่สำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทองคำได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างน่าตื่นเต้น
เนื่องจากราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาเฉลี่ยในปี 2558 ที่มีมูลค่า 1,160.06 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ มาอยู่ที่ราคาเฉลี่ยเท่ากับ 2,386.20 เหรียญฯต่อออนซ์ ในปี 2567 เพิ่มขึ้นถึงสูง 105.70%
และในช่วง 2 ปีหลัง หรือปี 2567-2568 มานี้ พบว่า ราคาทองคำเดินหน้าทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง โดยปี 2567 ราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 28% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับขึ้น 23% สำหรับราคาทองคำในประเทศ ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All Time High) สูงสุดกว่า 40 ครั้ง
สำหรับปี 2568 ราคาทองคำยังคงพุ่งทะลุจุดเดือด ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ราคาทองคำโลกทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,790 เหรียญฯต่อออนซ์ ในวันที่ 23 ก.ย.2568 ส่งผลให้ราคาทองไทย ทองแท่งทะยานขึ้นไปถึงบาทละ 57,050 บาท ในวันที่ 24 ก.ย.2568 เพิ่มขึ้น 14,650 บาท หรือให้ผลตอบแทนสูงถึง 34% เมื่อเทียบกับราคา ณ สิ้นปี 2567 ขณะที่ทองคำโลกให้ผลตอบแทนสูงถึง 44% ถือเป็นผลตอบแทนรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522!!
มีคำถามว่าราคาทองคำจะไปต่อได้หรือไม่ หรือจะถูกขายทำกำไรปรับฐานลงมา “ทีมเศรษฐกิจ” ได้นำมุมมองของนักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญสำนักวิเคราะห์ต่างๆ ทั้งในไทยและสถาบันต่างชาติมาฉายภาพไว้ในที่นี้ เพื่อให้นักลงทุนได้ใช้ประกอบในการพิจารณาลงทุน
“ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง หนึ่งในผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของไทย ได้รวบรวมปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาทองคำที่สำคัญไว้ ดังนี้
1.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก จากมาตรการภาษีตอบโต้ที่เป็นประเด็นทางด้านกฎหมาย หลังศาลการค้าระหว่างประเทศและศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจที่เกินขอบเขตภายใต้กฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act หรือ IEEPA) และสั่งให้ยกเลิกการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังคงให้ใช้มาตรการภาษีชั่วคราวจนถึงวันที่ 14 ต.ค.2568 เพื่ออุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด ทำให้อาจเกิดความไม่แน่นอน และเกิดสุญญากาศจนกว่าจะรอคำตัดสินของศาลสูงสุด
2.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯเป็นขาลง โดยปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% หรือ 2 ครั้ง ส่วนปี 2569-2570 จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียงปีละ 0.25% หรือปีละ 1 ครั้งเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าเฟดเร่งลดดอกเบี้ยปีนี้ แต่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีถัดไป ถึงแม้คำแถลงของ “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ย
โดยพาวเวลแถลงว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการลดเพื่อบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อส่งสัญญาณแนวทางลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ท่ามกลางความเสี่ยงด้านการจ้างงานที่อ่อนแอลง เงินเฟ้อพุ่งขึ้น แต่มองอีกด้านหนึ่ง เป็นการสะท้อนถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเกิด Stagflation (ภาวะเศรษฐกิจชะลอ แต่เงินเฟ้อสูงขึ้น) ซึ่งตลาดคาดว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
3.การลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De Dollarization) ประเทศกลุ่ม BRICS และประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ซื้อทองคำเพิ่มขึ้น และลดการถือครองเงินเหรียญฯในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินเหรียญฯ, การเสื่อมค่าของเงินเหรียญฯในระยะยาว โดยธนาคารกลางทั่วโลกมีสัดส่วนเงินเหรียญฯในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงต่อเนื่องเหลือ 57% จากที่เคยสูงสุด 70% ในปี 2543
ขณะที่สัดส่วนทองคำในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 21% และคาดว่ามีแนวโน้มซื้อทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้เพิ่มขึ้น โดย Metals Focus คาดว่า ธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำในปีนี้ราว 900 ตัน หลังจากได้ซื้อไว้เกิน 1,000 ตันติดต่อกันมา 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2565
4.ความเชื่อมั่นเงินเหรียญฯลดลง เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯที่สูงขึ้น การขาดวินัยทางการคลัง การแทรกแซงองค์กรอิสระ และความน่าเชื่อถือของข้อมูลสถิติสหรัฐฯลดลง
5.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซียและยูเครนกลับมาตึงเครียดมากขึ้น โดยรัสเซียได้โจมตียูเครนครั้งใหญ่ที่สุดด้วยขีปนาวุธและโดรนหลายร้อยลูก ล่าสุด ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวสุนทรพจน์บนเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย จะเดินหน้าขยายขอบเขตการทำสงครามให้กว้างและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆหากไม่ถูกหยุดยั้ง
“ธนรัชต์” ยังให้ความเห็นอีกว่า เดือน ก.ย.นี้มีแรงซื้อเก็งกำไรในทองคำอย่างต่อเนื่อง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกของปีนี้ 0.25% เหลือ 4.00-4.25% ซึ่ง “สตีเฟน มิแรน” ผู้ว่าการเฟดคนใหม่ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้ง ได้โหวตสวนมติ โดยให้ลดอัตราดอกเบี้ยแรงถึง 0.50%
นอกจากนี้ ยังมีเงินทุนไหลเข้าทองคำจากกองทุนอีทีเอฟทองคำ หลังจากไหลออกติดต่อกันมา 4 ปี ซึ่งกองทุน SPDR มีการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นแตะ 1,000 ตัน สูงที่สุดในรอบ 3 ปี ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยเดือน ก.ย.ราคาทองคำโลกปรับขึ้นกว่า 300 เหรียญฯต่อออนซ์ และราคาทองไทยเพิ่มขึ้นถึง 4,400 บาท ภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น!!
ฮั่วเซ่งเฮงให้แนวโน้มราคาทองคำเป็นขาขึ้น แม้ระยะสั้นอาจย่อตัวลง เนื่องจากแรงเทขายทำกำไร มีแนวต้านสำคัญ 3,800 เหรียญฯ ราคาทองไทย 57,500 บาท (สมมติฐานเงินบาท 32 บาทต่อเหรียญฯ) โดยฮั่วเซ่งเฮงให้เป้าหมายราคาทองคำที่ 3,930 เหรียญฯต่อออนซ์ ราคาทองไทย 59,500 บาท (สมมติฐานค่าเงินบาท 31.75 บาทต่อเหรียญฯ) ซึ่งอาจถึงระดับนี้ในปี 2569 หรือเร็วที่สุดอาจจะเกิดขึ้นในปีนี้
“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ให้ความเห็นว่า ราคาทองไทยขึ้นไปทำระดับสูงสุดทะลุเป้าหมายแรกที่ให้ไว้ที่ 57,000 บาทต่อบาททองคำแล้ว และมีโอกาสที่จะทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 60,000 บาทต่อบาททองคำ
อย่างไรก็ดี หากเงินบาทแข็งค่าจากระดับปัจจุบันที่อยู่ที่ 31.83 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไปทดสอบเป้าหมายถัดไปลดลง ดังนั้น การเคลื่อนไหวของทองคำในประเทศ ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ หากราคาทองคำในระยะสั้นย่อตัว แนะนำแบ่งขายทำกำไรบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด และแนะนำให้ซื้อกลับเมื่อย่อตัว หากราคาไม่หลุดแนวรับที่ 55,000-50,000 บาทต่อบาททองคำ
ขณะที่สำนักวิเคราะห์สถาบันการเงินของโลก ล้วนมองทิศทางราคาทองคำโลกเป็น “ขาขึ้น” ทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่เห็นที่ 3,500-4,000 เหรียญฯต่อออนซ์ เป็นโซนใหม่ใน 12-24 เดือน และเปิดช่องทางสู่ 4,200-4,500 เหรียญฯต่อออนซ์ ในกรอบ 3-5 ปี
โดย Goldman Sachs ได้ประเมินเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สิ้นปี 2568 ราคาทองโลกจะไปที่ 3,700 เหรียญฯต่อออนซ์ ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านทะลุไปแล้ว และคาดว่าจะแตะ 4,000 เหรียญฯในกลางปี 2569 จากนั้นมีโอกาสปรับขึ้นได้มากกว่านี้ หากมีแรงซื้อเข้ามามากขึ้นจากนักลงทุนและกองทุนต่างๆ
ด้าน J.P. Morgan มองสอดคล้องกันว่า เฉลี่ยไตรมาส 4/2568 ราคาจะอยู่ที่ราว 3,675 เหรียญฯต่อออนซ์ และมุ่งทะยานขึ้นสู่ 4,000 เหรียญฯในกลางปี 2569 จากนั้นอาจพุ่งขึ้นต่อเนื่องถึง 4,250 เหรียญฯในปลายปี 2569 หากปัจจัยหนุนแรงขึ้น ขณะที่ UBS คาดการณ์ว่า สิ้นปี 2568 จะไปได้ถึง 3,800 เหรียญฯ โดยมองเป็นบวกจากนโยบายการเงินและการเข้าซื้อทองของธนาคารกลางทั่วโลก
สำหรับ Deutsche Bank, Bank of America และ ANZ ประเมินไปในทิศทางเดียวกัน โดยยกระดับเป้าหมายราคาทองคำปี 2569 ขึ้นเป็น 4,000 เหรียญฯ จากเดิม 3,700 เหรียญฯ ตามดีมานด์ของธนาคารกลางประเทศต่างๆที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินเหรียญสหรัฐฯที่อ่อนค่าลง จากความไม่แน่นอนของนโยบายเฟด
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันปัจจัยที่จะกดดันราคาทองคำโลกให้พักฐานปรับตัวลง คือ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก “ดีเกินคาด” ทำให้ผลตอบแทนจริงสูงขึ้น ประกอบกับเฟดชะลอหรือลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และค่าเงินเหรียญฯอ่อนค่าลงอย่างจำกัด อีกทั้งเกิดแรงขายทำกำไรในช่วงปลายวัฏจักร รวมทั้งผู้บริโภคทองคำรายใหญ่อย่างอินเดียและจีนชะลอการซื้อ และดีมานด์ของธนาคารกลางทั่วโลก ที่แม้จะยังคงซื้อเพิ่มแต่เป็นการซื้อที่ช้าลง
ทั้งนี้ สำนักวิเคราะห์ต่างๆประเมินว่า ราคาทองคำเฉลี่ยน่าจะลงมาอยู่ที่ 3,200-3,600 เหรียญฯต่อออนซ์ เช่น ซิตี้แบงก์ ที่แม้ระยะสั้นได้ยกเป้าหมายราคาไปที่ 3,800 เหรียญฯ และเตือนว่าปลายปี 2569 ราคาอาจถอยลงสู่ 2,800 เหรียญฯ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่เป็นตัวเร่งมาดันราคาทองคำ!!
สำหรับแนวโน้มราคาทองในระยะ 3-5 ปี (ปี 2568-2573) ข้างหน้านั้น ในกรณีฐานสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นโซนที่ 3,200-3,600 เหรียญฯต่อออนซ์เป็นฐาน (กรณีโลกไม่ผันผวนมาก) แต่ในมุมมองเชิงบวกหลายสำนักวิเคราะห์ว่า จะไต่ระดับขึ้นไปถึง 4,200-4,400 เหรียญฯต่อออนซ์ ภายในปี 2571-2572 หากเฟดเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยต่ำ และธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองเก็บเข้าในทุนสำรองเกิน 1,000 ตันต่อปี
แต่หากเกิดกรณีพิเศษ ราคาทองโลกจะทะยานทะลุจุดเดือดไปถึง 4,500–5,000 เหรียญฯต่อออนซ์ หากเกิด “ตัวเร่ง” เช่น ปัญหาการค้าโลกยังคงตึงตัว และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรงต่อเนื่อง พร้อมกับค่าเงินเหรียญฯอ่อนค่า อ่อนแรงยาว โดยเฟดถูกแทรกแซง หรือถูกกดดันด้านความเป็นอิสระจากฝั่งการเมือง และเงินลงทุนภาคเอกชนไหลเข้าซื้อทองคำแรงกว่าคาด
โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าราคาทองคำจะขึ้นไปได้ต่อมากน้อยเพียงใด หรือจะพักฐานลงมาก็ตาม แต่ทองคำยังคงเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ที่น่าจูงใจต่อการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก และควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย หรือรายใหญ่ เนื่องจากความสามารถในการรักษามูลค่าในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน
นอกจากนี้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี นักลงทุนสามารถเข้าถึง และรับรู้ข้อมูลข่าวสารการลงทุนทองคำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา จึงเปิดโอกาสให้สร้างผลตอบแทนได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
แต่เนื่องจากราคาโลหะยังคงผันผวนอย่างมาก โดยเฉพาะภายใต้อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินเหรียญฯ ภาวะเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ฯลฯ ดังนั้น ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นนี้น่าจะช่วยให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ไม่มากก็น้อย.
ทีมเศรษฐกิจ
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม