เปิดทิศทางราคา “ทองคำโลก” กูรูไทย-ต่างชาติฟันธง! ระยะยาวทะยานต่อ

Investment

Gold

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิดทิศทางราคา “ทองคำโลก” กูรูไทย-ต่างชาติฟันธง! ระยะยาวทะยานต่อ

Date Time: 29 ก.ย. 2568 04:00 น.

Summary

ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งซื้อง่ายขายคล่อง สามารถซื้อขายได้ในตลาดทั่วโลก

Latest

ราคาทองวันนี้ 5 ธันวาคม 2568 ล่าสุด ไม่เปลี่ยนแปลง ราคาทองรูปพรรณ บาทละ 64,450 บาท

ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งซื้อง่ายขายคล่อง สามารถซื้อขายได้ในตลาดทั่วโลก ที่สำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทองคำได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้อย่างน่าตื่นเต้น

เนื่องจากราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาเฉลี่ยในปี 2558 ที่มีมูลค่า 1,160.06 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ มาอยู่ที่ราคาเฉลี่ยเท่ากับ 2,386.20 เหรียญฯต่อออนซ์ ในปี 2567 เพิ่มขึ้นถึงสูง 105.70%

และในช่วง 2 ปีหลัง หรือปี 2567-2568 มานี้ พบว่า ราคาทองคำเดินหน้าทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง โดยปี 2567 ราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 28% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับขึ้น 23% สำหรับราคาทองคำในประเทศ ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All Time High) สูงสุดกว่า 40 ครั้ง

สำหรับปี 2568 ราคาทองคำยังคงพุ่งทะลุจุดเดือด ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ราคาทองคำโลกทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,790 เหรียญฯต่อออนซ์ ในวันที่ 23 ก.ย.2568 ส่งผลให้ราคาทองไทย ทองแท่งทะยานขึ้นไปถึงบาทละ 57,050 บาท ในวันที่ 24 ก.ย.2568 เพิ่มขึ้น 14,650 บาท หรือให้ผลตอบแทนสูงถึง 34% เมื่อเทียบกับราคา ณ สิ้นปี 2567 ขณะที่ทองคำโลกให้ผลตอบแทนสูงถึง 44% ถือเป็นผลตอบแทนรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2522!!

มีคำถามว่าราคาทองคำจะไปต่อได้หรือไม่ หรือจะถูกขายทำกำไรปรับฐานลงมา “ทีมเศรษฐกิจ” ได้นำมุมมองของนักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญสำนักวิเคราะห์ต่างๆ ทั้งในไทยและสถาบันต่างชาติมาฉายภาพไว้ในที่นี้ เพื่อให้นักลงทุนได้ใช้ประกอบในการพิจารณาลงทุน

ปัจจัยขับเคลื่อนราคาทองคำ

“ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง หนึ่งในผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของไทย ได้รวบรวมปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาทองคำที่สำคัญไว้ ดังนี้

1.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก จากมาตรการภาษีตอบโต้ที่เป็นประเด็นทางด้านกฎหมาย หลังศาลการค้าระหว่างประเทศและศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจที่เกินขอบเขตภายใต้กฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act หรือ IEEPA) และสั่งให้ยกเลิกการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังคงให้ใช้มาตรการภาษีชั่วคราวจนถึงวันที่ 14 ต.ค.2568 เพื่ออุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด ทำให้อาจเกิดความไม่แน่นอน และเกิดสุญญากาศจนกว่าจะรอคำตัดสินของศาลสูงสุด

2.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯเป็นขาลง โดยปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% หรือ 2 ครั้ง ส่วนปี 2569-2570 จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียงปีละ 0.25% หรือปีละ 1 ครั้งเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าเฟดเร่งลดดอกเบี้ยปีนี้ แต่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีถัดไป ถึงแม้คำแถลงของ “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ย

โดยพาวเวลแถลงว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการลดเพื่อบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อส่งสัญญาณแนวทางลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ท่ามกลางความเสี่ยงด้านการจ้างงานที่อ่อนแอลง เงินเฟ้อพุ่งขึ้น แต่มองอีกด้านหนึ่ง เป็นการสะท้อนถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเกิด Stagflation (ภาวะเศรษฐกิจชะลอ แต่เงินเฟ้อสูงขึ้น) ซึ่งตลาดคาดว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า

3.การลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De Dollarization) ประเทศกลุ่ม BRICS และประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ซื้อทองคำเพิ่มขึ้น และลดการถือครองเงินเหรียญฯในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเงินเหรียญฯ, การเสื่อมค่าของเงินเหรียญฯในระยะยาว โดยธนาคารกลางทั่วโลกมีสัดส่วนเงินเหรียญฯในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงต่อเนื่องเหลือ 57% จากที่เคยสูงสุด 70% ในปี 2543

ขณะที่สัดส่วนทองคำในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 21% และคาดว่ามีแนวโน้มซื้อทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้เพิ่มขึ้น โดย Metals Focus คาดว่า ธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำในปีนี้ราว 900 ตัน หลังจากได้ซื้อไว้เกิน 1,000 ตันติดต่อกันมา 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2565

4.ความเชื่อมั่นเงินเหรียญฯลดลง เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯที่สูงขึ้น การขาดวินัยทางการคลัง การแทรกแซงองค์กรอิสระ และความน่าเชื่อถือของข้อมูลสถิติสหรัฐฯลดลง

5.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซียและยูเครนกลับมาตึงเครียดมากขึ้น โดยรัสเซียได้โจมตียูเครนครั้งใหญ่ที่สุดด้วยขีปนาวุธและโดรนหลายร้อยลูก ล่าสุด ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวสุนทรพจน์บนเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย จะเดินหน้าขยายขอบเขตการทำสงครามให้กว้างและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆหากไม่ถูกหยุดยั้ง

ฮั่วเซ่งเฮงให้เป้าหมายปีนี้ 59,500 บาท

“ธนรัชต์” ยังให้ความเห็นอีกว่า เดือน ก.ย.นี้มีแรงซื้อเก็งกำไรในทองคำอย่างต่อเนื่อง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกของปีนี้ 0.25% เหลือ 4.00-4.25% ซึ่ง “สตีเฟน มิแรน” ผู้ว่าการเฟดคนใหม่ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้ง ได้โหวตสวนมติ โดยให้ลดอัตราดอกเบี้ยแรงถึง 0.50%

นอกจากนี้ ยังมีเงินทุนไหลเข้าทองคำจากกองทุนอีทีเอฟทองคำ หลังจากไหลออกติดต่อกันมา 4 ปี ซึ่งกองทุน SPDR มีการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นแตะ 1,000 ตัน สูงที่สุดในรอบ 3 ปี ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยเดือน ก.ย.ราคาทองคำโลกปรับขึ้นกว่า 300 เหรียญฯต่อออนซ์ และราคาทองไทยเพิ่มขึ้นถึง 4,400 บาท ภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น!!

ฮั่วเซ่งเฮงให้แนวโน้มราคาทองคำเป็นขาขึ้น แม้ระยะสั้นอาจย่อตัวลง เนื่องจากแรงเทขายทำกำไร มีแนวต้านสำคัญ 3,800 เหรียญฯ ราคาทองไทย 57,500 บาท (สมมติฐานเงินบาท 32 บาทต่อเหรียญฯ) โดยฮั่วเซ่งเฮงให้เป้าหมายราคาทองคำที่ 3,930 เหรียญฯต่อออนซ์ ราคาทองไทย 59,500 บาท (สมมติฐานค่าเงินบาท 31.75 บาทต่อเหรียญฯ) ซึ่งอาจถึงระดับนี้ในปี 2569 หรือเร็วที่สุดอาจจะเกิดขึ้นในปีนี้

YLG ชี้ได้เห็น 6 หมื่น! หากค่าบาทยังอ่อน

“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ให้ความเห็นว่า ราคาทองไทยขึ้นไปทำระดับสูงสุดทะลุเป้าหมายแรกที่ให้ไว้ที่ 57,000 บาทต่อบาททองคำแล้ว และมีโอกาสที่จะทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 60,000 บาทต่อบาททองคำ

อย่างไรก็ดี หากเงินบาทแข็งค่าจากระดับปัจจุบันที่อยู่ที่ 31.83 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไปทดสอบเป้าหมายถัดไปลดลง ดังนั้น การเคลื่อนไหวของทองคำในประเทศ ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ หากราคาทองคำในระยะสั้นย่อตัว แนะนำแบ่งขายทำกำไรบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด และแนะนำให้ซื้อกลับเมื่อย่อตัว หากราคาไม่หลุดแนวรับที่ 55,000-50,000 บาทต่อบาททองคำ

สถาบันต่างชาติเคาะปีหน้า 4 พันเหรียญฯ

ขณะที่สำนักวิเคราะห์สถาบันการเงินของโลก ล้วนมองทิศทางราคาทองคำโลกเป็น “ขาขึ้น” ทั้งสิ้น โดยส่วนใหญ่เห็นที่ 3,500-4,000 เหรียญฯต่อออนซ์ เป็นโซนใหม่ใน 12-24 เดือน และเปิดช่องทางสู่ 4,200-4,500 เหรียญฯต่อออนซ์ ในกรอบ 3-5 ปี

โดย Goldman Sachs ได้ประเมินเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สิ้นปี 2568 ราคาทองโลกจะไปที่ 3,700 เหรียญฯต่อออนซ์ ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านทะลุไปแล้ว และคาดว่าจะแตะ 4,000 เหรียญฯในกลางปี 2569 จากนั้นมีโอกาสปรับขึ้นได้มากกว่านี้ หากมีแรงซื้อเข้ามามากขึ้นจากนักลงทุนและกองทุนต่างๆ

ด้าน J.P. Morgan มองสอดคล้องกันว่า เฉลี่ยไตรมาส 4/2568 ราคาจะอยู่ที่ราว 3,675 เหรียญฯต่อออนซ์ และมุ่งทะยานขึ้นสู่ 4,000 เหรียญฯในกลางปี 2569 จากนั้นอาจพุ่งขึ้นต่อเนื่องถึง 4,250 เหรียญฯในปลายปี 2569 หากปัจจัยหนุนแรงขึ้น ขณะที่ UBS คาดการณ์ว่า สิ้นปี 2568 จะไปได้ถึง 3,800 เหรียญฯ โดยมองเป็นบวกจากนโยบายการเงินและการเข้าซื้อทองของธนาคารกลางทั่วโลก

สำหรับ Deutsche Bank, Bank of America และ ANZ ประเมินไปในทิศทางเดียวกัน โดยยกระดับเป้าหมายราคาทองคำปี 2569 ขึ้นเป็น 4,000 เหรียญฯ จากเดิม 3,700 เหรียญฯ ตามดีมานด์ของธนาคารกลางประเทศต่างๆที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินเหรียญสหรัฐฯที่อ่อนค่าลง จากความไม่แน่นอนของนโยบายเฟด

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันปัจจัยที่จะกดดันราคาทองคำโลกให้พักฐานปรับตัวลง คือ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก “ดีเกินคาด” ทำให้ผลตอบแทนจริงสูงขึ้น ประกอบกับเฟดชะลอหรือลดการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป และค่าเงินเหรียญฯอ่อนค่าลงอย่างจำกัด อีกทั้งเกิดแรงขายทำกำไรในช่วงปลายวัฏจักร รวมทั้งผู้บริโภคทองคำรายใหญ่อย่างอินเดียและจีนชะลอการซื้อ และดีมานด์ของธนาคารกลางทั่วโลก ที่แม้จะยังคงซื้อเพิ่มแต่เป็นการซื้อที่ช้าลง

ทั้งนี้ สำนักวิเคราะห์ต่างๆประเมินว่า ราคาทองคำเฉลี่ยน่าจะลงมาอยู่ที่ 3,200-3,600 เหรียญฯต่อออนซ์ เช่น ซิตี้แบงก์ ที่แม้ระยะสั้นได้ยกเป้าหมายราคาไปที่ 3,800 เหรียญฯ และเตือนว่าปลายปี 2569 ราคาอาจถอยลงสู่ 2,800 เหรียญฯ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่เป็นตัวเร่งมาดันราคาทองคำ!!

สงครามเดือดเจอกันที่ 5 พันเหรียญ!!

สำหรับแนวโน้มราคาทองในระยะ 3-5 ปี (ปี 2568-2573) ข้างหน้านั้น ในกรณีฐานสำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นโซนที่ 3,200-3,600 เหรียญฯต่อออนซ์เป็นฐาน (กรณีโลกไม่ผันผวนมาก) แต่ในมุมมองเชิงบวกหลายสำนักวิเคราะห์ว่า จะไต่ระดับขึ้นไปถึง 4,200-4,400 เหรียญฯต่อออนซ์ ภายในปี 2571-2572 หากเฟดเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยต่ำ และธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองเก็บเข้าในทุนสำรองเกิน 1,000 ตันต่อปี

แต่หากเกิดกรณีพิเศษ ราคาทองโลกจะทะยานทะลุจุดเดือดไปถึง 4,500–5,000 เหรียญฯต่อออนซ์ หากเกิด “ตัวเร่ง” เช่น ปัญหาการค้าโลกยังคงตึงตัว และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรงต่อเนื่อง พร้อมกับค่าเงินเหรียญฯอ่อนค่า อ่อนแรงยาว โดยเฟดถูกแทรกแซง หรือถูกกดดันด้านความเป็นอิสระจากฝั่งการเมือง และเงินลงทุนภาคเอกชนไหลเข้าซื้อทองคำแรงกว่าคาด

โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าราคาทองคำจะขึ้นไปได้ต่อมากน้อยเพียงใด หรือจะพักฐานลงมาก็ตาม แต่ทองคำยังคงเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ที่น่าจูงใจต่อการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก และควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย หรือรายใหญ่ เนื่องจากความสามารถในการรักษามูลค่าในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน

นอกจากนี้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี นักลงทุนสามารถเข้าถึง และรับรู้ข้อมูลข่าวสารการลงทุนทองคำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา จึงเปิดโอกาสให้สร้างผลตอบแทนได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

แต่เนื่องจากราคาโลหะยังคงผันผวนอย่างมาก โดยเฉพาะภายใต้อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินเหรียญฯ ภาวะเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ฯลฯ ดังนั้น ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นนี้น่าจะช่วยให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้ไม่มากก็น้อย.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ