ราคาทองคำมีโอกาสไปต่อ! YLG ชี้มีลุ้นแตะ 3,500 ดอลลาร์ฯ หาก “จีน-สหรัฐ” เจรจาไม่สำเร็จ

Investment

Gold

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ราคาทองคำมีโอกาสไปต่อ! YLG ชี้มีลุ้นแตะ 3,500 ดอลลาร์ฯ หาก “จีน-สหรัฐ” เจรจาไม่สำเร็จ

Date Time: 10 เม.ย. 2568 17:30 น.

Video

ต้นทุนพุ่ง! นำเข้าสินค้าออนไลน์ เตรียมรับมือ ภาษีนำเข้า 1 บาท (ม.ค. 69)  | Thairath Money Night Stand EP.25

Summary

YLG ชี้ราคาทองคำจะมีลุ้นแตะ 3,300-3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเจรจากับสหรัฐไม่สำเร็จ หรือมีการตอบโต้จนก่อให้เกิดสงครามการค้า และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

Latest


บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ประเมินสถานการณ์ทองคำปรับตัวลดลงเป็นแค่ช่วงสั้น จาก 2 ปัจจัย ทั้งการเทขายทำกำไร ในภาวะ Risk-off เพื่อปิดความเสี่ยงมาถือเงินสด จากความผันผวนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ

ทั้งนี้ ราคาทองคำจะมีลุ้นแตะ 3,300-3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์  หากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีนเจรจากับสหรัฐไม่สำเร็จ หรือมีการตอบโต้จนก่อให้เกิดสงครามการค้า และเพิ่มโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนกระตุ้นเฟดผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน 

โดยแนะใช้จังหวะทองคำปรับฐานเข้าซื้อเพื่อลงทุนได้ทั้ง ระยะสั้น-กลาง-ยาว เหตุมีโอกาสสูงที่ในอีก 12 เดือน จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ชี้การลงทุนทองคำในตลาดฟิวเจอร์ส เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจในช่วงทองคำราคาสูง

ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำผันผวนหลังจากปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 3,167.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันพฤหัสบดีที่ 3 เม.ย. ขานรับการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ของสหรัฐ ที่อาจกระทบเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย 

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ทองคำได้ถูกแรงขายทำกำไร เนื่องจากทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ได้พุ่งขึ้นขานรับประเด็นดังกล่าวมาตลอดเกือบไตรมาส 1 ที่ผ่านมาแล้ว จึงเกิดการ Sell on fact ในภายหลัง จนราคาปรับตัวลดลง 210 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลง 6.63% สู่ระดับ 2,956.92 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในวันจันทร์ที่ 7 เม.ย.

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ ถือว่าทองคำยังคงยืดหยุ่นกว่าอย่างมาก และแม้ราคาจะปรับลดลงมาอย่างรวดเร็ว แต่นับจากต้นปีมาถึงราคาปิดวันที่ 9 เม.ย. ทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นถึง 460 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 17.48%  

สำหรับความผันผวนของราคาทองคำในระยะสั้นนี้ มีปัจจัยหลักมาจากความกังวลต่อนโยบายการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐ ที่เริ่มบานปลายจากการตอบโต้ของทางฝั่งจีน จนนำไปสู่การกประกาศตัวเลขอัตราการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นจนท้ายที่สุดจีนโดนสหรัฐเรียกเก็บภาษีมากถึงอัตรา 125%  อย่างไรก็ดี YLG ประเมินไว้ 2 แนวทาง ดังนี้

  1. หากแต่ละประเทศเข้าเจรจาผ่อนปรนภาษีแต่เจรจาไม่สำเร็จ ส่งผลให้ยกระดับความตึงเครียด และสถานการณ์ยืดเยื้อ กรณีนี้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ อย่างเลวร้ายจะเข้าสู่สภาวะ Stagflation ผลกระทบต่อทองคำ คือ ทองคำจะปรับตัวลงในระยะแรกจากความต้องการเงินท่ามกลาง Risk-off  ก่อนจะปรับตัวขึ้นแรงจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย กรณีนี้จะหนุนทองคำได้อย่างมากในระยะถัดๆไป โดยมีเป้าหมายทองคำที่ระดับ 3,300-3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์
  2. ขณะเดียวกันหากแต่ละประเทศสามารถเจรจาและหาทางออกร่วมกันได้และลดความตึงเครียดลง กรณีนี้ สินทรัพย์เสี่ยงกลับมาปรับตัวสูงขึ้น  ซึ่งจะบั่นทอนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดีมองว่าทองคำจะกลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานเดิม  ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ยังคงหนุนทองคำ เพียงแค่ Upside อาจน้อยกว่ากรณีแรก กรณีนี้ให้เป้าหมายทองคำไว้ที่ระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นอกจากนี้ มองว่าแรงขายทำกำไรทองคำยังมาจากราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกของปี จึงเกิดแรงขายทำกำไรและเป็นแรงขายเพื่อถือเงินสด  และโยกเงินเติมมาร์จิ้นและชดเชยผลขาดทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ดังนั้นคาดว่าแรงขายรอบนี้เป็นเพียงปฏิกิริยาระยะสั้นเท่านั้น

เช่นเดียวกับครั้งที่ทองคำเคยถูกเทขายลงมาพร้อมตลาดหุ้นทั่วโลกให้ช่วงการระบาดของ COVID-19  และที่สำคัญคือ ทองคำยังไม่สูญเสียสถานะของสินทรัพย์ปลอดภัยแต่อย่างใด  เพียงแต่แรงขายในตลาดทองคำส่งผลให้มุมมองเทคนิคระยะกลางเข้าสู่ช่วงของการพักฐานในระยะกลาง สะสมกำลังเพื่อปรับตัวขึ้นต่อในระยะยาว  ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานต่อทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง 

YLG จึงประเมินว่าการพักตัวของทองคำในระยะกลางจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาวในการกลับเข้าสะสมทองคำอีกครั้งเมื่อราคาย่อตัวลง เนื่องจากความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิด Recession ในอีก 12 เดือนข้างหน้าเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม

หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย  จะส่งผลให้เฟดต้องกลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงิน  ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย  หรือ ยุติการทำ Quantitative Tightening (QT) ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันดอลลาร์และหนุนราคาทองคำ และจะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนทองคำได้อย่างมากในปี 2568

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถลงทุนทองคำในตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง เพราะใช้เงินลงทุนเพียง 10% ของราคาทองคำ และสามารถทำกำไรได้ทุกสภาวะตลาดด้วย

สำหรับราคาทองในประเทศวันนี้ (10 เมษายน 2568) เปลี่ยนแปลง 18 ครั้งตลอดวัน ส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่ม 550 บาท จากวันก่อน ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ณ เวลา 16:48 น.

  • ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 50,300.00 บาท ขายออกบาทละ 50,400.00 บาท
  • ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 49,391.28 บาท ขายออกบาทละ 51,200.00 บาท

Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ