วันนี้ชวนไปดู “ราคาทองคำ” กันสักวันนะครับ ราคาทองคำส่งท้ายครึ่งปีแรก ณ 29 มิถุนายน 67 ทองคำแท่ง 96.5% ราคาซื้อบาทละ 40,400 บาท ราคาขายบาทละ 40,500 บาท ทองรูปพรรณ ราคาซื้อบาทละ 39,673.72 บาท ราคาขายบาทละ 41,000 บาท ราคาตลาดโลก 2,328.44 ดอลลาร์ต่อทรอยเอานซ์ คุณธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮั่วเซ่งเฮง ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ให้ความเห็นถึง ทิศทางราคาทองคำครึ่งปีหลัง 2567 ว่า แนวโน้มความต้องการทองคำของตลาดในประเทศยังเพิ่มขึ้น (แสดงว่าคนไทยที่มีเงินเหลือเก็บสามารถซื้อทองมาเก็บยังมีอีกมาก) โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปี เป็นช่วงไฮซีซันที่ผู้คนต่างซื้อทองคำมอบเป็นของขวัญ หรือได้รับเงินก้อนจากโบนัสแต่ต้องการลงทุน
แม้โลกยุคดิจิทัลวันนี้จะมี เงินดิจิทัล อย่าง Bitcoin ที่ถือเป็น “ทองคำดิจิทัล” ให้เก็บและซื้อขายได้ แต่คนก็ยังต้องการ “ทองคำ” ที่จับต้องได้ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะ ธนาคารกลาง ทุกประเทศทั่วโลก ต่างสะสมทองคำกันมากมาย
คุณธนรัชต์ ให้ความเห็นว่า การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น คาดกันว่า ปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะลดดอกเบี้ยลงเพียงครั้งเดียว หากมีข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯเริ่มลงหรือเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงมากกว่า 1 ครั้ง
ผมดูข้อมูล FedWatch Tool ล่าสุดบ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักถึง 61.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00–5.25% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และยังให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นที่ 44.70% เฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 อีก 0.25% สู่ระดับ 4.75–5.00% ในการประชุมเดือนธันวาคมปีนี้ แม้ว่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) จะบ่งชี้ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมปรับขึ้นไป 2.6%
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็มีผลต่อราคาทองคำ หลังการดีเบตครั้งแรก ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พ่ายแพ้ให้กับ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้สมาชิกพรรคเดโมแครตถึงกับถอดใจเรียกร้องให้ ไบเดน ถอนตัว ถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ทรัมป์มีนโยบายลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ และถ้าเฟดไม่ลดดอกเบี้ย หนี้สหรัฐฯก็จะเพิ่มสูงขึ้นถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น ทำให้สหรัฐฯมีปัญหาหนี้ก็เป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำอีก หรือ เฟดลดดอกเบี้ยก็เป็นผลบวกต่อราคาทองคำอีกเช่นกัน
สรุปก็คือ ราคาทองคำในครึ่งปีหลังนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะไตรมาส 4
หนึ่งในตัวตึงที่ทำให้ราคาทองคำโลกพุ่งไม่หยุดก็คือ ธนาคารกลางจีน ที่ไล่ซื้อทองคำจำนวนมากอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2566 มาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2567 เพื่อเป็น “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” ทำให้ แบงก์ชาติจีนมีทองคำสำรองสูงสุดในรอบ 50 ปี เดือนมีนาคม 67 แบงก์ ชาติจีนตะลุยซื้อทองคำอีก 160,000 ออนซ์ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 สาเหตุที่จีนเร่งตุนทองคำจำนวนมาก เพราะไม่ไว้ใจสหรัฐฯ จึงนำเงินดอลลาร์ไปซื้อทองคำเพื่อลดการถือครองเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เดือนมีนาคม 67 จีนเหลือถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เพียง 775,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2565 นอกจากนี้ คนจีนยังนิยมซื้อทองเก็บกันมากขึ้น ไตรมาสแรกปี 67 คนจีนซื้อทองคำเพิ่มขึ้นถึง 6% ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวจีนรุ่นใหม่
แม้จีนจะเร่งตุนทองคำ แต่ข้อมูล สภาทองคำโลก ไตรมาสแรกปีนี้ระบุว่า จีนมีทองคำมากเป็นอันดับ 6 ของโลก 2,262 ตัน และ อันดับ 1 ยังเป็นสหรัฐฯ มีทองคำมากถึง 8,133 ตัน
ก็เอาเรื่องการลงทุน “ทองคำ” มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เห็นว่าโอกาสการลงทุนยังมีอีกเยอะ อย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นหวัง แม้จะมีรัฐบาลที่ไร้ความหวัง ตลาดทุนไทยวันนี้เชื่อมโยงกับตลาดทุนโลกแล้ว การไปลงทุนใน “โลกกว้าง” จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”