ราคาทองคำโลกทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังตัวเลขเงินเฟ้อเป้าหมายและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง นักวิเคราะห์ฯ มองราคาทองคำไทยลุ้นทะลุ 35,000 บาทต่อบาททองคำ หนุนจากแรงซื้อช่วงปีใหม่ พร้อมแนะนักลงทุนขายทำกำไรบางส่วน
ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมา มีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 ซึ่งตลาดมองว่าจะลดดอกเบี้ยถึง 5 ครั้ง จากเดิมคาด 3 ครั้ง
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดมองแบบนั้น ประเด็นแรก คือ ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม ปรับตัวลดลง รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สัปดาห์ก่อน ทำให้มองว่าเงินเฟ้อเป้าหมายจะปรับตัวลดลง ส่วนประเด็นที่สอง คือ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณว่าดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะจบแล้ว จากเงินเฟ้อลดลง พร้อมอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ถึงแม้ว่าในวันศุกร์ที่ผ่านมามีท่าทีไม่ฟันธงทีเดียวนัก
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคาดว่าสถานการณ์ดอกเบี้ยค่อนข้างผ่อนคลายมาก และเฟดน่าจะผ่อนคลายการเงิน ทำให้มองว่าแนวโน้มราคาทองคำเป็นขาขึ้น โดยเช้าวันจันทร์ที่ 4 ธ.ค. ราคาทองคำโลกเปิดตลาดเหนือ 2,144 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งอิงสมาคมค้าทองคำของไทย อยู่ที่ 34,400 บาทต่อบาททองคำ ทำสถิติใหม่สูงสุดเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังแนะนำนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในพอร์ต สามารถถือต่อได้ และแบ่งขายออกเพื่อทำกำไรบางส่วน โดยประเมินทิศทางราคาทองคำไทยมีลุ้นแตะ 35,000 บาทต่อบาททองคำ อีกทั้งยังเชื่อว่าทองคำจะมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงปลายปีและต้นปี จากช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งหากอิงตามสถิติราคาทองคำที่ผ่านมา พบว่าในเดือนมกราคมมักปรับตัวขึ้นได้เยอะ
ด้าน พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,144 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังจากที่สามารถยืนเหนือ 2,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้ โดยเป็นการปรับขึ้นจากปัจจัยการผ่อนคลายความกังวลเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ได้ผ่านจุดสูงสุดของวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หลังจากการประชุมเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เฟดมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ และเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้ง นับตั้งแต่ที่เริ่มเข้าสู่นโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม 2565 ด้วยเหตุนี้ทองคำจึงปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นเดือนมีนาคม ทั้งนี้ จากข้อมูลของ CME FedWatch Tool รายงานว่าล่าสุดพบการสำรวจของตลาดให้น้ำหนักมากกว่า 50% ไปในทิศทางว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าคาดการณ์ช่วงก่อนหน้า เป็นช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 และในช่วงนั้นราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้ง
ทั้งนี้ แม้หลังการพุ่งขึ้นไปทำราคาสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงมาบ้างจากแรงขายทำกำไร แต่ความต้องการซื้อทองคำยังแข็งแกร่ง ทำให้ทองคำยืนเหนือ 2,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งแสดงถึงสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำช่วงนี้ วายแอลจีแนะนำ ไม่ควรไล่ราคาให้รอจังหวะซื้อที่ 2,070-2,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 2,120-2,144 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นแนวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ต้องรอการทดสอบอีกครั้ง
ส่วนราคาทองคำในประเทศ ความบริสุทธิ์ 96.50% แนะนำเข้าซื้อที่โซนแนวรับ 34,200-33,850 บาทต่อบาททองคำ สำหรับแนวต้านมองที่โซน 35,000-35,400 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วยค่าเงินบาท 34.85 บาทต่อดอลลาร์ ณ วันที่ 4 ธ.ค. 2566 เวลา 10.00 น.)